IMDB : tt0470130
คะแนน : 7
“..ในบางครั้งสิ่งที่เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้อาจยังมีอยู่สภาพสังคม อาจเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่เรื่องเล่าขานมาก็ได้ นอกจากความเชื่อแล้ว ยังมีสังคมการทุจริต คอรัปชั่นทางการเมืองของพวกตำรวจหรือนักการเมืองท้องถิ่นที่คอยสนับสนุนการค้าขายหรือกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อความจริงถูกเปิดเผย ยังไงความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ..”
บทนำ : ความเชื่อ ค่านิยม อำนาจลี้ลับ
การที่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นอาจนำไปสู่การคลีคล้ายปัญหาบ้างอย่างได้ ความเชื่อ ภูมิปัญญา เป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้เกิดความจริงที่มองไม่เห็น แต่อาจจะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่จิตสัมผัสได้ เช่น คนไทยแต่ก่อนในสมัยสงครามนิยมศักดิ์ยันต์เพื่อไปรบโดยเชื่อว่าจะปลอดภัยเช่น ยิงไม่เข้า แทงไม่เข้า และเป็นค่านิยมของคนสมัยก่อนที่นำมาเล่าต่อๆเป็นตำนานของแต่ละบุคคล การเชื่อและได้สัมผัสกับสิ่งที่มองไม่เห็นอาจจะรู้วิธีการต่างๆที่จะมากับการที่ได้สัมผัสรู้ถึงจิต และอาการของคนมีของ
ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์เรื่อง จอมขังเวทย์ ที่กล่าวว่าการที่นายตำรวจทานหนึ่ง(นามชื่อ หมวดสันติ)ที่ไม่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้และยังทำหน้าที่สืบหาเบาะแสของนายตำรวจท่านหนึ่ง(อิทธิ)ที่แหกคุกโดยมีเวทมนต์คาถาออกจากคุกมาโดยที่อิทธิแต่ก่อนก็เป็นตำรวจ แต่โดนเพื่อนตำรวจด้วยกันหักหลัง(ธีระศักดิ์และทศพล)หลังจาการโยนความผิดกับอิทธิและคิดที่จะฆ่าอิทธิ แต่พอดีว่าอิทธิมีเวทมนต์อยู่บ้างจึงฆ่าไม่สำเร็จแต่โดนจับไปอยู่คุกมืดแทน
จอมขมังเวทย์ ยังสอดแทรกประเด็นเกี่ยวกับสังคม ความเชื่อ และการเมือง การมีอำนาจในทางที่ผิดและการโลภมากไม่รู้จักพอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังให้ข้อคิดกับผู้ชมผ่านตัวละครในเรื่องนี้ด้วย
จากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วก็ไม่แตกต่างไปจากปัจจุบันมากนักเช่น การเมืองก็ยังมีการคอรัปชั่นเกิดขึ้นให้เห็น ความเชื่อทางไสยศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ในความเชื่อและตำนานบ้างอย่างแล้ว อักขระและการสักยันต์จึงเป็นที่นิยมในหมู่ที่ศรัทธาและเชื่อในสิ่งที่ลีลับเกี่ยวกับ มนต์ดำ ไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา
เรื่องย่อ
ณ บ้านหลังหนึ่งที่อยู่กลางป่าได้มีกลุ่มโจรพักอาศัย ต่อมา ตำรวจและพวก นำโดย อิทธิ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช)และเพื่อนที่เป็นตำรวจสองคนที่เข้าไปในบ้าน 10 ปีผ่านไปในปี2548 ได้มีการถ่ายเทนักโทษจากเรือนจำที่มีปัญหานักโทษล้นเรือนจำไปแห่งใหม่หนึ่งในนั้นก็คืออดีตนายตำรวจอิทธิโดยมีพราหมณ์เป็นผู้กล่าวนำสวดคาถากำกับไปยังห้องคุมขังระยะทางปิดด้วยผ้าขาทั้งสองถูกลามด้วยโซ่เหล็กแต่ตาของอิทธิเหมือนไม่ได้ถูกปิดเขาเดินตรงและไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียวปากก็คาบด้วยมีดจนไปถึงห้องขังที่เต็มไปด้วยอักขระเลขยันต์ต่างๆและได้สะกดห้องนั้นไว้ หัวหน้าเรือนจำได้ออกกฎเหล็กไว้ว่าทั้งพนักวานรายเก่าและรายใหม่ห้ามอ่านหนังสือหรือท้องสวดใดๆทั้งสิ้นข้าวที่ให้นักโทษก็ห้ามเป็นเม็ดห้ามพูดคุยกับนักโทษและห้ามให้นักโทษถูกเนื้อต้องตัวโดยเด็ดขาด ครั้งถึงเวลาให้อาหารผู้คุมนักโทษได้ยินเสียงของนักโทษว่า “ยังเด็กอยู่ไม่ใช่หรือ” เป็นเสียงพูดของอิทธิที่ต้องการที่จะช่วยและให้ทำตามแล้วจะดีขึ้นโดยให้เอาหัวหมู่ ต้มแดง ต้ม เขียว ผลไม้ 5 อย่าง เหล้า ธูป36ดอก ไปไว้ที่กลางแจ้งแล้วนึกถึงเขาพอตกกลางคืนได้ทำตามที่อิทธิบอกและไดเห็นอะไรบางอย่างกินของที่เส้นไหว้ที่เตรียมไว้ พอรุ่งเช้าผู้คุมขังคนดังกล่าวได้ไปถามว่าทำไงต่อ อิทธิของง่าต้องการของ3,4อย่างเพื่อทำพิธีได้แก่ ใบพลู ข้าวเม็ด เงินพอถึงเวลาออกเวรผู้คุมขังกลับเดินเอาผ้ามาเช็ดตัวยันต์ที่อยู่หน้าห้องขังทำให้ตัวอักขระที่สะกดไว้ได้คลายออก อิทธิได้ใช้คาถาสะเดาะกลอนและคาถากำบังกายออกมา และได้หนีไปที่ภาคใต้ ณ. ที่ชาญชรารถไฟอิทธิได้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างตามเขามาซึ่งเป็นกุมารทองของทศพลแล้วอิทธิได้ตัดคอกุมารทองของทศพลแล้วได้ไปที่บ้านของทศพลใช้คาถาเป่าเหล็กไหลเข้าตัวของทศพลจนตายแล้วหนีออกมาขึ้นรถไฟ ด้วยผมที่ยาวทำให้เด็กกลัวจนมาถึงเขตรับผิดชอบของหมวดสันติ ที่กำลังวางแผนจับไอ้ใหญ่แต่ไอ้ใหญ่รู้ตัวก่อนจึงเกิดการยิงปะทะกันแต่พอถึงทางตันไอ้ใหญ่โดนหมวดสันติยิงด้วยปืนลูกซองสั้นแต่ไอ้ใหญ่ไม่เป็นไรกลับลุกขึ้นเดินหนีไป พอกลับมาถึงโรงพักได้รับรายงานว่ามีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาขอพบนั้นก็คือธีระศักดิ์และมอบหน้าที่ให้ไปสืบหาเบาะแสของอิทธิ และธีระก็ได้ถือโอกาสมารับภรรยาสาวที่ชุมพร และได้เห็นรูปเงาของอิทธิที่อยู่กระจกมืดพอดีในระหว่างทางการไปสืบหาได้ไปพบวัยรุ่นที่สักยันต์รูปต่างๆแต่สันติก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้นัก ส่วนไอ้ใหญ่ที่ถูกยิงมาเหมือนว่าของเริ่มเสื่อมแต่ก็ได้อิทธิมาช่วยบริกรรมคาถาของจึงกลับมาเหมือนเดิม สันติได้โทรไปให้วินัยช่วยที่เป็นเพื่อนกันขณะนั้นเองทางด้านอิทธิได้ทำการปลุกครูและตัดผมใหม่แล้วก็ไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อจะไปช่วยผู้คนด้วยตนเองแต่กลับมีพระรูปหนึ่งห้ามไม่ให้มายุ่งเพราะไม่ใช่กิจของเขา ทุกคนย่อมมีกรรเป็นของตัวเอง อิทธิพูดว่า ทุกคนต่างต้องชดใช้กรรมแล้วมันต่างกันอย่างไรในขณะนั้น หมวดสันติได้พบผู้ต้องสงสัยเลยบอกให้จ่าเรียกกำลังเสริมแล้วสันติก็ตามอิทธิไปแต่พอจะจับอิทธิกลับโดนอิทธิใช้คาถาบีบหัวใจและคาถาบังตาเป่าใส่จนหมดสติไปสามวันสามคืนส่วนทางด้านธีระได้พาภรรยาไปมีอะไรกันโดยที่ไม่รู้ว่าภรรยากำลังเล่นของใส่ที่ได้จากอิทธิมาและได้บอกให้ขึ้นครอบธีระส่วนทางด้านอิทธิได้บริกรรมคาถาคล้ายของของธีระโดยที่ไม่รู้ตัวจนเสร็จธุระแล้วได้ออกมาเจอกับสันติที่กำลังซุ้มดูคนร้ายอยู่จึงชวนไปนั่งรถเล่นแล้วคุยเรื่องเก่าทั้งสามคนและได้บอกถึงวิธีการจับคนมีของธีระได้หรอกว่าอิทธิในช่วงเป็นตำรวจได้ไปฆ่าโจรปล้นเงินพอกลับถึงบ้านก็ได้ข้อมูลบ้างอย่างจากวินัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นโดยจ่าพลอยที่อยู่เหตุการณ์ครั้งนั้นและได้ศึกษาหนังสือเล่มหนึ่งของพ่อเขาเองวันรุ่งเช้าได้รับรายงานว่าได้เจอตัวไอ้ใหญ่พอมาถึงที่เกิดเหตุได้มีการยิงปะทะกันจนทำให้ไอ้ใหญ่ตายแล้วได้เอาตะกรุดไปพอตกกลางคืนก็สะดุ้งตื่นมาพบกับอิทธิที่ปลายเตียงอิทธิได้มาเตือนสันติซึ่งไม่ใส่ความฝันเพราะที่ใต้เตียงของสันติได้มีเลือดที่เป็นตัวอักขระอยู่ด้วยแล้วอิทธิได้ไปหาภรรยาของธีระเพื่อจะไปเอาของบ้างอย่างจากเธอแล้วเธอก็โดนอิทธิฆ่าก่อนที่สันติจะมาถึงซึ่งทำให้ธีระโกรธและได้ตามล่าอิทธิด้วยตัวเองเพื่อจะปิดคดีและได้มายังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่กลางป่าและได้นำกำลังไปจับตายแต่อิทธิรู้ตัวก่อนได้ใช้คาถาเป่าเป็นต่อแตนแต่ได้ธีระสยบต่อแตนไปด้วยคาถาและได้ขึ้นไปบ้านหลังนั้นก็พบกับอิทธิและได้ยิงอิทธิแต่อิทธิไม่เป็นไรและได้บอกความจริงที่แท้แล้วธีระกับทศพลเป็นคนฆ่าแล้วอิทธิมาได้ยินอะไรบ้างจึงคิดที่จะฆ่าอิทธิแล้วโยนความผิดให้กับอิทธิ พออิทธิได้รู้ความจริงก็ได้เป่าคาถายิงไม่ออกแล้วก็ได้ดูดยันต์ที่อยู่ในตัวของธีระไปจนหมดตัวทำให้ธีระควบคุมตัวเองไม่ได้กว่าหมวดสันติจะมาถึงธีระก็ได้กรีดแขนตัวเองแล้วก็สั่งให้จ่าไปพาตำรวจมาช่วยแต่โดนอิทธิบีบหัวใจไว้ แล้วอิทธิได้ใช้คาถาเสกตะปูเข้าท้องหมวดสันติจนหมดสติไปมารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่วัดแล้วและได้ทำการเอาตะปูออกโดยหลวงพ่อหมวดสันติได้ขอร้องให้หลวงพ่อช่วยบ้าง แต่ก็ต้องไปหาของบ้างก่อนจากที่เป็นตำรวจที่ดีก็ได้เป็นคนที่ฆ่าคนฉะเอง โดยที่ไม่คิดว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตามที่สามารถจะจับอิทธิโดยวิธีใดก็ตามหลวงพ่อได้สักหนุมานเชิญธงและเก้ายอดให้ และได้ไปที่บ้านหลังนั้นทันทีและก็ได้ไปพบกับอิทธิที่อยู่ที่นั้นจริงแล้วจึงคิดจะจับก่อนที่จะจับจะต้องถอดของของอิทธิออกก่อน ได้มีการใช้คาถาอาคมสู้กันแต่หมวดสันติที่ตัวเล็กกว่าจึงถูกบีบคอยกขึ้นแล้วอิทธิได้ใช้มีดแทงแต่ไม่เข้าและหมวดสันติได้เป่าคาถาเปลี่ยนฝนให้เป็นสีแดงซึ้งทำให้อิทธิแปลกใจแดงไปทั่วทั้งบริเวณบ้านหลังนั้นจากนั้นหมวดสันติได้ทั้งตีและต่อยอิทธิแล้วได้ขึ้นครอบแล้วบีบตาของอิทธิแล้วดูดของที่อยู่ในตัวของอิทธิจนหมดจากการบ้าครั่งของหมวดสันติที่จะจับอิทธิมากเกินไปจึงไม่ยังคิดได้ใช้ไม้ทุบอิทธิจนเสียชีวิตและต้องเป็นผู้ต้องหาซะเอง การที่เขาทำเช่นนั้นทำให้เขาต้องกลายเป็นจอมขมังเวทย์ที่แต่ก่อนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาเองที่ต้องไปอยู่ห้องนั้น
สาเหตุที่ต้องตามหาความจริง
ในภาพยนตร์เรื่องจอมขมังเวทย์เป็นเรื่องที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ อดีตตำนานที่เล่าขานของการดำรงอยู่ยงคงกระพันซึ้งมาเกี่ยวโยงกับการเมือง อำนาจเข้ามาร่วมปะปนอยู่ในเรื่อง ที่ตำรวจเป็นผู้รักษากฎที่เป็น การปกครองระบบเผด็จการ การมีอำนาจ ความรุนแรง การแบ่งชนชั้นและอำนาจอธิปไตย ประชาธิปไตย ที่ครั้งหนึ่งผู้ที่รักษากฎหมายต้องถูกโดนลงโทษจากการที่เขา(อิทธิ)ไม่ได้ทำขึ้น นั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อิทธิต้องออกมาเพื่อหนีโทษที่เขาไม่ได้ทำขึ้น โดยการแก้แค้นซึ้งนั้นเป็นความรุนแรงทางด้านร่างกายโดยการใช้เวทย์มนต์คาถาเข้ามาช่วยในการล่าหาความจริงที่ทำให้คนที่เป็นคนดีอย่างอิทธิต้องกลับมาเป็นคนเลวโดยที่อิทธิไม่ได้สร้างขึ้น แต่กลับกลายมีคนที่มาสร้างวาทกรรมให้อิทธิต้องเป็นอย่างนั้น
จากนั้นก็ได้มีการหลบซ่อนตัวเพื่อจะอยู่อย่างอิสระแต่ต้องกลับโดนตามล่าจากคำสั่งของผู้มีอำนาจและยศบ้างคนซึ้งมีผลกระทบต่อการงานที่ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ในคดีที่ทำ
ในภาพยนตร์เรื่องจอมขมังเวทย์ยังมีการสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่มีการ ปล้น ฆ่า ความมีเมตตา ที่จะช่วยเหลือบางคนที่ตกทุกข์ได้ยากในจิตใจและยังเป็นความเชื่อที่สร้างอุดมการณ์ทางความคิดว่าเวทย์มนต์คาถาสามารถใช้ช่วยเหลือหรือปกป้องภัยอันตรายได้และยังเป็นการเปรียบเทียบวัตถุบ้างอย่างด้วยค่านิยม โดยอ้างจากตำนานเล่าขานวัตถุนิยม สิ่งเหล่านี้ที่ยังสร้างความเป็นชนชั้นผ่านตัวละครถึง หน้าที่ ความเป็นอยู่ ของผู้คนในเรื่องเองไม่ว่าไอ้ใหญ่ที่เป็นชนชั้นล่างที่ต้องดิ้นรนจากการต้องมาเป็นโจรปล้น ฆ่า ซึ้งต่างจากหมวดสันติที่เป็นชนชั้นกลางที่มีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยในสังคมที่วุ่นวายมีผู้คนหลากหลายเชื่อชาติซึ้งอยู่ในการปกครองของระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำงานที่ต่างกัน
การเมืองที่มีการทุจริต การโกงกินเกิดขันที่จริงในเรื่องนี้ที่สะท้อนให้เห็นความขัดแย้งทั้งทางด้านความคิด ชนชั้นคือตำรวจด้วยกันเองจากการไม่ไว้วางใจ ความรุนแรงในขณะการจับกุมและท้ายเรื่องคือต้องมีคนที่มาสืบทอดจากการที่จะเอาชนะแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อตังเองและสังคม [2]
เกี่ยวกับสภาพสังคมของไทย: อำนาจ ชนชั้น วาทกรรม อุปมาเปรียบเทียบ ความแตกต่าง
ตำรวจก็จะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนชนชั้นกลางและบางก็จะอยู่เกือบชนชั้นสูงนั้นก็คือพวกนักการเมืองส่วนให้ที่ร่ำรวยมีอำนาจและตำรวจบ้างก็ขึ้นตรงกับเรื่องในการทำงานต่างๆต้องมีคำสั่ง[3]ซึ่งผิดกับคนชั้นล่างซึ่งได้แก่ชาวบ้าน คนรับจ้าง คนขายแรงงาน ขอทาน[4] และพระซึ่งจัดเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองมากนัก แต่ต้องมีหน้าที่ที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจและช่วยเหลือบ้างอย่างที่หมอช่วยเหลือไม่ได้
โดยความคิดของคนสมัยใหม่ส่วนใหญ่แล้วคนที่สักยันต์มาคือคนเลวหรือเป็นขี้คุกที่เป็นวาทกรรมที่มองจากด้านเดียว คนส่วนมากก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นแค่ศิลปะที่เขาชอบ และจะแบ่งคนที่สักยันต์พวกนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งจะไม่ค่อยยอมรับจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงและจะไม่ค่อยรับเข้าทำงานจึงเกิดเป็นปัญหาทางสังคมต่อไป[5] แต่ละชนชั้นที่พูดถึงนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ถูกกล่าวขึ้นโดยการมองจากฝ่ายเดียว แต่ละคนมักมีปัญหาเป็นของตัวเอง โดยส่วนใหญ่แล้วชนชั้นล่างมักมีปัญหามากที่สุดซึ้ง เช่น ปัญญาหาเศรษฐกิจ สังคม ปัญหาด้านบริการ
การเมืองและอำนาจ เงิน
อำนาจเป็นสิ่งที่ได้มาจากการยอมรับของผู้คนส่วนใหญ่และใช้อำนาจในการต่างๆได้แต่อย่างไรต้องอยู่ในข้อบังคับบ้างอย่าง อำนาจอาจจะเป็นตัวตัดสินพฤติกรรมบ้างอย่างของมนุษย์ได้ในบางคน อำนาจได้มาซึ่งความชอบธรรมด้วย จากการดูภาพยนตร์เรื่องจอมขมังเวทย์นี้แล้วพบว่าการที่ทศพลและธีระศักดิ์ร่วมมือกันที่จะหักหลังอิทธิและคิดที่จะเอาหน้าร่วมไปถึงผลประโยชน์เรื่องเงินเพราะเงินเป็นปัจจัยหลักที่สามารถกำหนดบางสิ่งบางอย่างได้ อำนาจมักจะมาพร้อมกับยศถาบรรดาศักดิ์ เงินตรา และได้รับการยกย่อง
ความเชื่อและวัฒนธรรม
คนภาคใต้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามที่มุ่งเน้นการทำความดีเหมือนกับทุกศาสนา สอนให้อยู่ในศีลธรรมข้อบังคับซึ่งเกี่ยวกับคนบางกลุ่มที่นับถือศีลแต่ไม่สามารถรักษาศีลนั้นได้จึงหันมานับถือและเชื่อสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นพิสูจน์ไม่ได้แทน นั้นก็คือ ไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถาต่างๆ ที่จะช่วยให้ตนเองสมปรารถนาไม่มีอะไรมาบังคับ และสามารถดูแลตัวเองให้พ้นจากอันตรายได้ และเชื่อในการอยู่ยงคงกระพันชาตรีแท้ที่จริงก็ต้องตายเหมือนกันหมดอยู่แล้วซึ้งเกี่ยวเนื่องกับอุดมการณ์ของนักรัฐศาสตร์ที่ว่า “การเผชิญกับความตายคือหัวใจของรัฐศาสตร์” [6] แต่จะอยู่ที่ว่าจะตายช้าหรือเร็วกว่ากันเท่านั้นเอง
บางสิ่งที่มองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีบางอย่างสิ่งที่รู้กลับทำให้กลัวไม่กล้าสัมผัสไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ทางด้านภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เห็นว่าจากที่หมวดสันติแต่ก่อนไม่เชื่อเรื่องไสยเวทย์ เวทย์มนต์คาถาแต่ต้องกลับมาเป็นจอมขมังเวทย์ซะเอง
เนื้อหา รูปแบบ และความเป็นมนุษย์
ในความคิดของผมที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งรูปแบบ เนื้อเรื่อง จากเริ่มแรกก็เป็นตำนานเล่าขานของการอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนี่ยว ที่คนส่วนใหญ่ที่มีความเชื่อและศรัทธาต่อสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยจิตซึ้งอาจจะพิสูจน์ไม่ได้จากวิทยาศาสตร์และมีพิธีกรรมต่างๆมาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงไปถึงสภาพสังคมที่มีหมู่โจรในช่วงนั้นจึงมีการออกล่าหาคนร้าย ซึ้งนำโดยอิทธิและเพื่อนอีก 2 คนมายังบ้านหลังหนึ่งที่คนร้ายได้หนีไปอยู่ และใช้เวทย์นมคาถาบังตาไว้ ซึ้งเหตุการณ์ครั้งนั้นเองที่ทำให้ความโลภเกิดในตัวคน การหักหลัง การไม่ไว้วางใจในหมู่ตำรวจ การาที่ผู้ที่รักษากฎหมายกลับมาโดนกล่าวหาเป็นผู้ที่ทำผิดซะเอง ทำให้ต้องติดคุกเป็นเวลา 10 ปี
เรื่องราวต่างๆที่ฝังใจของอิทธิซึ้งเป็นคนดีต้องกลับมาโดนข้อกล่าวหาที่เป็นคนเลวโดยการความคิดให้กับบุคคลอื่นของธีระศักดิ์และยังกล่าวหาไปในทางที่ไม่ดีเกิดเป็นการสร้างวาทกรรมให้แก่อิทธิ ว่าเป็นคนบ้าเลือด อำมหิตผิดมนุษย์ และเป็นคนที่ชอบจับตายคน ทำให้เป็นที่สงสัยเพราะความรุนแรงที่ได้ยินมาด้านต่างๆ ที่ธีระศักดิ์ทำกับอิทธิ เช่นการใช้ปืนยิงอิทธิเพื่อจะฆ่าโดยกระทำซึ่งหน้าและเปิดเผยตัวตนและทางอ้อมเช่น ความคิดที่ใช้คนอื่นเข้ามาช่วยโดยการเอาอำนาจที่ตนมีมาช่วยและอ้างการเป็นคำสั่ง และในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสอดแทรกเนื้อหาที่ดีอยู่บ้างตอน เช่นที่อิทธิไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อจะไปช่วยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก นั้นยังเป็นสามัญสำนึกของความเป็นคนอยู่บ้าง และบ้างตอนก็เหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการที่ถอดของต้องดูดของจากตัวสู่ตัวซึ้งมันเป็นสิ่งที่ตัวกระผมไม่เคยรู้มาก่อน ซึ้งมันเป็นความรุนแรงทางด้านวัตถุ การที่มีความเชื่อเดียวกันก็เปรียบเหมือนการรวมรัฐรัฐหนึ่งโดยความเชื่อ และการที่มีความเชื่อที่แตกต่างของหมวดสันติก็เปรียบเหมือนการเริ่มแตกแยกกันทางความคิดก็เหมือนเสื้อเหลืองเสื้อแดงในปัจจุบัน[7]
การปกครองของสังคมไทย: เผด็จการ ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์
ในภาพยนตร์เรื่องจอมขมังเวทย์ยังเปรียบเทียบในการปกครองของตัวละครในเรื่องเช่น การปกครองระบอบประชาธิปไตยเปรียบเหมือนการที่อิทธิต้องการมีความเป็นเสรีทางด้านความคิดและตัวบุคคลในการดำรงชีวิต ระบอบเผด็จการและคอมมิวนิสต์ที่บ้างครั้งหมวดสันติได้นำหลักไปใช้คือ การเผด็จการใช้บ้างเวลาที่จำเป็นนอกเหนือจากการต่อรอง เช่นการออกไปจับกุมคนร้าย การรักษาความสงบ และส่วนใหญ่ในระบอบคอมมิวนิสต์นั้นต้องเด็ดขาดมีคำสั่งที่รวดเร็วแต่บ้างครั้งเป็นคำสั่งที่เด็ดขาดแต่ไม่แน่นอนเพราะคำสั่งบ้างอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง
ซึ่งเหมือนกับการปกครองในสังคมปัจจุบันก็คือให้อิสระแก่ประชาชนทั้งทางด้านความคิดไม่ได้บังคับสิทธิและเสรีภาพในการดำรงอยู่ในสภาพสังคมของความขัดแย้งของพวกอำมาตย์และพวกไพร่ที่มีความคิดขัดแย้งแต่บ้างอย่างก็มีเป้าหมายเหมือนกันเช่น คนเสื้อเหลืองทำเพื่อในหลวงก็เหมือนกับเสื้อแดงที่รักในหลวงโดยอ้างพระมหากษัตริย์ในการต่อรองบ้างอย่างเอง
การทำตามคำสั่งของคนชั้นสูงยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าตามลำดับเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดนบังคับที่ต้องทำหรือไม่ได้บังคับแต่ก็ต้องจำเป็นต้องทำบ้างสิ่งที่รู้ว่าผิดแต่ก็ต้องทำ จากระบอบคอมมิวนิสต์ถ้าไม่ทำก็จะโดนทำโทษบ้างอย่าง เช่น ทหาร ตำรวจ ที่ไปต่อต้านการประท้วงที่สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของการเรียกร้องสิทธิต่างๆ
ไม่ว่าจะการปกครองแบบไหนก็มักจะมีการคอรัปชั่นปะปนอยู่ทุกระบบซึ่งจะทำประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ตนเองและพวกพ้องตัวเองเสมอ
อิทธิ หมวดสันติ กับเมืองไทย
ในภาพยนตร์เรื่องจอมขมังเวทย์ได้บอกถึง ฐานสำคัญของเรื่องเกี่ยวกับ ความเชื่อ ความขัดแย้ง ความเห็นแก่ตัว ผลประโยชน์ อำนาจ การแก้แค้น และความแตกต่าง จึงเกิดเป็นระบบระบอบการต่างๆดูได้จากตัวละครทั้งสองคือ อิทธิ และหมวดสันติ ที่เป็นตัวเอกของเรื่องที่เปรียบตัวเอกของเรื่องก็เพราะทั้งสองเป็นตำรวจมาก่อน เช่นอิทธิเป็นตำรวจที่ดีแต่ต้องมาโดนหักหลังและเกือบจะตายจากที่โดนฆ่าปิดปาก เพราะอิทธิได้ไปรู้อะไรบ้างอย่างเข้าแล้วสงสัยจึงเกิดการไม่ไว้วางใจกันขึ้น ก่อนนั้นก็จะแสดงถึงปัญหาบ้างอย่างที่เป็นปมให้อิทธิต้องมาเป็นคนเลวจากการแหกคุกด้วยความจำเป็นและยังมีปัญหาของคามขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ การคอรัปชั่น ชนชั้น สภาพสังคม อำนาจ ระบอบการปกครองและวัฒนธรรมความเชื่อมาเกี่ยวข้อง อยู่ในตัวของอิทธิ
ส่วนในด้านของหมวดสันติ จาการที่เป็นตำรวจซึ่งอยู่ในระบอบคอมมิวนิสต์ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง บ้างครั้งจึงขาดศีลธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ ความคิด อำนาจ การเมือง ยศ และการเสียสละ
เปรียบตัวเอกทั้งสองแล้วเข้ากับการเมืองไทยในการที่ใช้อำนาจ การเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพที่จะได้รับ เช่นการเมืองที่มีความคิดไม่ตรงกันคือเสื้อเหลืองเสื้อแดง การเผด็จการ เกี่ยวกับผลประโยชน์บ้างอย่าง และทำหน้าที่เพื่ออะไร
บทสรุป
ในความคิดของผมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้รู้ถึงสภาพสังคม การดิ้นรนของตัวเองการเชื่ออะไรบ้างอย่างกลับได้มาถึงการคลีคล้ายบ้างอย่างได้ รู้การเอาตัวรอดวิธีปฏิบัติตัวในสถานการณ์ต่างๆ ความคิดที่ขัดแย้ง นั้นเป็นสาเหตุของความสูญเสีย นำมาซึ่งความตาย ความรุนแรง และยังสร้างความเชื่อที่ผิดให้แก่คนอื่นโดยที่เขาไม่ผิดเลย การปลูกฝังให้ทำตามหน้าที่โดยการอ้างจากยศ อำนาจ ตำแหน่ง เป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการบังคับให้ทำตาม อุดมการณ์ที่แตกต่างแท้ที่จริงคือมายาที่ทำให้คนมีความคิดที่แตกต่างเป็นเพียงม่ายตาที่มองคนอื่นเป็นอย่างไร ในม่านตานั้นอาจกลับไม่ได้มองตัวเองว่าดีหรือไม่ดีเลยนำไปสู่ความเชื่อที่ผิดตามกันเป็นสาเหตูของการขัดแย้งแต่ละคนมีจิตใจความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เหมือนกันธรรมชาติได้สร้างมาอย่างนั้นอยู่แล้วไม่สามารถจะไปเปลี่ยนได้ แต่มนุษย์เราสามารถที่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามไม่เดือนร้อนถึงตัวเราและคนอื่นก็พอ พอมีความโลภเกิดขึ้นในจิตใจมนุษย์แล้วถึงจะรู้ว่าผิดยังไงก็ห้ามไม่ได้ อิสรเสรีเป็นสิ่งที่น่าแก่การใช้ในสิ่งที่ดีเท่านั้น
อดีต ปัจจุบัน อนาคต จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เราดำรงชีวิตไปในทางไหนก็แล้วแต่ละบุคคล
“ทางเลือกมันมีไม่เยอะอยู่ที่จะเลือกทางไหน”