ค้นหาหนัง

30 Days of Night

30 Days of Night
เรื่องย่อ : 30 Days of Night

ปรากฏการณ์ธรรมชาติทำให้เมือง บาร์โรว์ ในแถบอลาสก้า แปรสภาพกลายเป็นเมืองที่หลับใหล หนาวเย็น และมืดมิด เพราะพระอาทิตย์ที่ดับแสงมานานกว่า 30 วัน 30 คืน ท่ามกลางความเหน็บหนาว และป่าเขาที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งนั้น เหล่าอสูรร้ายแวมไพร์ได้เพิ่มจำนวนขึ้นทวีคูณ และออกล่าชาวเมืองบาร์โรว์อันโอชะอย่างโหดเหี้ยม บุคคลผู้พอจะเป็นแสงสว่าง และความหวังของชาวเมืองในการรอดพ้นจากหายนะนี้มีเพียง นายอำเภอ และผู้รักษาการณ์ คู่สามี-ภรรยาที่ต้องเลือกระหว่างการเอาตัวรอด กับการเป็นฮีโร่เพื่อช่วยเหลือเมืองที่เขารักให้ปลอดภัย แต่ลำพังมนุษย์จะรับมือกับเหล่าอสูรร้ายได้อย่างไร เพราะยิ่งรัตติกาลผ่านไปอันตรายกลับยิ่งคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้น และหลายชีวิตต้อง “สูญ” จากโลกนี้ไปตลอดกาล

IMDB : tt0389722

คะแนน : 6



30 Days of Night จากการ์ตูนแนวสยองขวัญ มาสู่หนังสยองว่าด้วยแวมไพร์ไล่ดูดเลือดผู้คน

เหตุเกิดในช่วงที่เมืองอลาสก้าต้องตกอยู่ใต้ความมืดยาวนานถึง 30 วัน ชาวเมืองก็เตรียมกักตุนอาหาร นอนพักใช้ชีวิตตามประสาโดยมีนายอำเภออีเบน โอเลสัน (Josh Hartnett) คอยดูแลความสงบเรียบร้อย

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อมีแวมไพร์กลุ่มเบ้อเริ่มบุกมาโจมตีเมือง ไล่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น จนคนที่รอดชีวิตต้องหาทางรับมือกับมัน แต่ทำไงได้ครับเมื่อเมืองต้องตกอยู่ในสภาพไร้แสงเดือดเป็นเดือน การไล่ล่าครั้งนี้มนุษย์จึงแทบจะหมดหวังไปเลย เพราะมันมากันเป็นสิบ… แล้วพวกเขาจะรอดไปได้หรือไม่ อันนี้ต้องติดตามครับ

นี่ถือเป็นแนวที่ผมว่าคุ้นนะ แต่ไม่ค่อยมีหนังแวมไพร์ทำออกมาลักษณะนี้ ทั้งๆ ที่มันออกจะสยองและสร้างความรู้สึกหมดหวังให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี แหม คิดดูครับแวมไพร์ยกพวกกันมา ฆ่าหมดเมือง ฉากที่พวกผีดูดเลือดไล่เขมือบคน ไล่ฆ่านี่ยอดเยี่ยมมาก หดหู่อย่างแรง สยองด้วย เพราะถ้าเราอยู่ตรงนั้นก็คงรอดยากล่ะครับ แวมไพร์เล่นมากันเยอะแล้วยังไม่มีแสงแดดมาเป็นตัวช่วยฝ่ายมนุษย์ด้วย เพราะตามปกติหนังแนวนี้ชอบมีมุกประเภท “รอจนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วพวกมนุษย์พลิกกลับมาชนะ” มันถือเป็นมุกเดิมๆ ก็จริงครับ แต่ก็เป็นมุกที่ให้ความหวังผู้คนเหมือนกัน ทว่าเรื่องนี้ไม่มีครับ เราต้องมานั่งดูคนโดนฆ่าตั้งแต่ต้นจนเกือบจบเรื่อง… สลดจริงๆ

นี่จึงไม่ใช่หนังคลายเครียดวันหยุดแน่นอนครับ มีแต่ศพ เลือด คนคอขาด แขนขาด หรือไม่ก็แวมไพร์แยกเขี้ยวใส่ โอย กดดันเอาเรื่อง

แต่ถ้าถามในแง่หนังดีไหม ผมชอบเลยล่ะครับ ออกมาโหดถึงใจ แรงและสยองมาก ข้อเสียมีแค่นิดเดียวตรงความยาวที่ออกจะมากไปหน่อย (เกือบสองชั่วโมงได้) เลยมีช่วงอืดๆ แต่ก็พอจะเข้าใจเจตนาของหนังครับ ว่าจะให้เราได้ซึมซับความรู้สึกหมดหวังของตัวละครในเรื่องด้วย และยังเข้ากับการตัดสินใจของพระเอกในตอนท้ายอีกต่างหาก ประมาณว่า “เหลืออดแล้วนะเฮ้ย!!!” อะไรทำนองนี้น่ะครับ

แรกเริ่มเดิมทีหนังเรื่องนี้จะถูกสร้างเป็นซีรี่ส์ครับ แต่พอเขียนๆ บทไปก็ถูกเขยิบมาเป็นหนังใหญ่ซะเลย เพราะมันทำได้ แล้วออกมาดีด้วย ตอนผมดูนั้นก็นึกถึง Salem’s Lot ของ Stephen King ขึ้นมาทันที แนวมันคล้ายกันนิดหน่อยตรงที่แวมไพร์บุกมายังเมืองเล็กๆ และฆ่าคนไปเป็นเบือ แต่ Salem นั้นมันออกแนวนิ่งๆ เนิ่บๆ (แต่มันส์) แวมไพร์มาแบบค่อยๆ แทรกซึม แต่เรื่องนี้มาแบบอหังการเลย ซึ่งผมก็ชอบคนละแบบครับ Salem มันก็สนุกมีลุ้น ตื่นเต้นใช้ได้ น่ากลัวด้วย แล้วยังมีอารมณ์ขันอีก ส่วนเรื่องนี้ดีตรงความกดดันและความสยอง รวมถึงแวมไพร์ที่อำมหิตสุดขีด แต่อารมณ์ขันนี่ไม่มีเลยครับ เครียดอย่างเดียว

Hartnett นั้นเล่นดีครับ แต่ไม่เด่นเพราะบทไม่ได้ส่งเท่าไร ก็แปลกดี เพราะเขาเล่นนำนะครับ แต่บทไม่ค่อยให้ความเด่นกับนายอำเภอเลย ซึ่งคิดในแง่หนึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแหละ เนื่องจากหนังทำออกมาในแนวสมจริง เลยไม่มีซูเปอร์ฮีโร่แบบจอห์น แม็คเคลนแห่ง Die Hard ว่าตามจริงหากเป็นหนังสูตรทั่วไป บทของ Hartnett ต้องประมาณ แม็คเคลนแหละครับ ต้องเก่งตลอด ไล่ฆ่าแวมไพร์ได้เป็นว่าเล่น แต่เผอิญเรื่องนี้เน้นความ Real บทตัวละครที่เป็นคนเลยไม่ค่อยโม้ ซึ่งผมว่าก็ดีครับ เป็นการสร้างความใหม่ให้หนังได้เยอะ ไม่ต้องตามสูตร เน้นกดดันล้วนๆ

แต่ต้องยอมรับว่า ดูแล้วอดเครียดไม่ได้จริงๆ

ดาราสมทบเจ้าอื่นอย่าง Melissa George ในบทภรรยาของอีเบน, Danny Huston เป็นฮาร์โลว์ หัวหน้าแวมไพร์ที่สุดโหดขนานแท้ พี่แกน่ากลัวมากครับ เวลาแกโผล่หน้าออกมาทีรู้สึกหมดหวังในบัดดลครับ เพราะแกฆ่าเหยื่อได้แน่ๆ แล้วยังมีการล้อเล่นกับเหยื่อก่อนจะฆ่าอีก เฮ่อ สลดจริงๆ ครับเวลาที่พี่แกฆ่าเหยื่อแต่ละรายเนี่ย

ถือเป็นหนังแวมไพร์ที่ดูแล้วได้อารมณ์สยองแบบแวมไพร์แท้ๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เจอเท่าไรในหนังแวมไพร์ส่วนมาก ที่ชอบตามสูตรครับ นั่นคือการปราบแวมไพร์เป็นไปอย่างง่ายดาย หรือไม่ต่อให้หมดหวังอย่างไรก็ต้องมีแสงแดดมาช่วย แต่เรื่องนี้ มีแค่ 2 ทางเลือก คือตาย กับตายแบบสยอง!

ดูหนังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันสะท้อนชีวิตคนในสังคมหรือเปล่า ว่าคนเรามีทั้งช่วงที่ได้รับแสงแดด (ความหวัง) และช่วงที่เต็มไปด้วยความมืด (ความหดหู่และความทุกข์) และบางทีความมืดก็อยู่ยาวนานกว่าแสงสว่าง (เช่นในหนังเป็นต้น) ก็เปรียบเหมือนชีวิตเรานั้น บางทีก็มีความทุกข์มารุมล้อมมากกว่า ล้อมครบทุกทิศจนไม่รู้จะบิดหน้าหันไปทางไหนดี

ทางที่พอจะทำได้คือ สู้ต่อไป จนกว่าจะผ่านมันไปได้ หรือสู้ไปๆ จนไม่สามารถสู้ต่อได้อีก… แต่มันก็ไม่เสียหลายที่จะสู้นี่ครับ จริงไหมครับ

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ จากหนังก็คือ ตอนแรก Sam Raimi แห่งหนังชุด The Evil Dead จะมากำกับครับ แต่พอถึงจุดหนึ่งเขาก็เลือกจะเป็นคนอำนวยการสร้างแล้วส่งต่อเก้าอี้ผู้กำกับให้ David Slade แทน ซึ่งก็ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะครับ Slade สามารถสร้างอารมณ์หมดหวังและหดหู่ให้กับหนังได้อย่างน่าพอใจ ส่วนเรื่องความสยองนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ ถึงเลือดถึงเนื้อจริงๆ

ในแง่รายได้ก็ถือว่ากลางๆ ครับ ลงทุนไป $30 ล้าน ได้คืนมาจากทั่วโลกที่ $75 ล้าน ก็พอได้ทุนคืน ส่วนกำไรแบบเป็นกอบเป็นกำก็ค่อยไปเก็บตอนออกแผ่นหรือลงสตรีมมิ่งเอา

เอาเป็นว่านี่คือหนังสยองแวมไพร์ที่ใช้ได้เลยครับ แต่ไม่ใช่หนังดูเพื่อคลายเครียดแน่นอน อันนี้ขอย้ำเลยครับ มันให้อารมณ์สลดและหดหู่จริงๆ ดังนั้นใครอยากดูด้วยจุดประสงค์เสพความบันเทิงล่ะก็ แนะนำให้ดู Van Helsing ดีกว่าครับ บันเทิิงกว่ากันเยอะ

แต่ถ้าคุณเป็นคอหนังแวมไพร์ เรื่องนี้ผมแนะนำเลยครับ คุ้มค่าน่าดู