ค้นหาหนัง

The Number 23

The Number 23 รหัสหลอนช็อคโลก,
เรื่องย่อ : The Number 23

หนังสือนิยายลึกลับชื่อ The Number 23 ที่เขาอ่านและวางไม่ลง วอลเทอร์ ต้องไขปริศนาเกี่ยวกับอดีตของตนเองให้ได้ก่อนจะสานต่ออนาคตกับ อกาธา ( เวอร์จิเนีย แมดเซ่น ) ผู้เป็นภรรยา และลูกชายวัยรุ่น โรบิน ( โลแกน เลอห์แมน ) หนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญที่ อกาธา มอบให้เขาในวันเกิด มันเล่าถึงปริศนาการฆาตกรรมเลือดเย็นที่สะท้อนชีวิตด้านมืดของ วอลเทอร์ อย่างยากจะควบคุม ชีวิตของนักสืบมาดเครียด ฟิงเกอร์ลิง ( จิม แครี่ ) ตัวละครหลักในหนังสือมีหลายแง่มุมที่สะท้อนถึงปูมหลังของ วอลเทอร์ เมื่อโลกในหนังสือมีชีวิตขึ้นมา วอลเทอร์ ก็จมลงสู่ส่วนที่น่ากลัวและทรงอิทธิพลที่สุดของหนังสือ นั่นก็คือความหมกมุ่นในอำนาจลึกลับของเลข 23 เช่นเดียวกับ ฟิงเกอร์ลิง ความหมกมุ่นแทรกซึมอยู่ในทุกหน้ากระดาษและเริ่มครอบงำ วอลเทอร์ เขามองเห็นเลข 23 ทุกที่ในชีวิตจริงและปักใจเชื่อว่าตนเองจะก่อเหตุฆาตกรรมเช่นเดียวกับตัวละคร ฟิงเกอร์ลิง ในหนังสือ ภาพสุดสยองตามหลอกหลอน วอลเทอร์ ในมโนสำนึก ภาพที่เป็นเหมือนลางร้ายทำนายชะตากรรมของภรรยาของเขาและ ไอแซค เฟรนช์ ( แดนนี่ ฮุสตัน ) เพื่อนรักของครอบครัว วอลเทอร์ จึงต้องออกเดินทางเพื่อไขปริศนาของหนังสือ ถ้าเขาสามารถค้นพบความจริงเบื้องหลังอำนาจเลข 23 ได้เขาก็อาจจะแก้ไขอนาคตได้ นักแสดง จิม แคร์รี่ เวอร์จิเนีย แมดเส็น โลแกน เลอร์แมน แดนนี่ ฮุสตัน โรห์น่า มิตรา ผู้กำกับ โจเอล ชูมาคเกอร์

IMDB : tt0481369

คะแนน : 6



แม้ว่าจะเกลียดวิชาคณิตศาสตร์เข้าไส้ แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของเราจะหนีเรื่องราวของตัวเลขไม่พ้นเลยจริงๆ ว่ากันว่าจำนวนนับเป็นอีกภาษาหนึ่ง เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่มีความลึกลับซับซ้อน ซึ่งบางคราวก็หาคำอธิบายไม่ได้ และมีอิทธิพลต่อตัวเราเป็นว่าเล่น ซึ่งนั่นก็นำพาให้เราคิดไปว่า…

 

ทำไมนักฟุตบอลบางคนถึงเล่นไม่ดีเมื่อเปลี่ยนไปใส่เบอร์อื่นทั้งๆที่ก็เป็นขาสองข้างเหมือนเดิมที่ใช้เตะลูกบอล เพราะอะไรจะซื้อรถใหม่มาขับทั้งทีต้องรอให้ปฏิทินเวียนไปถึงเลขซึ่งเราคิดว่าดี เพราะถ้าคิดกันจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้หมายความว่ารถเราจะไม่ขับไปชนใคร หรือใครจะไม่ขับมาชนเรา แล้วเหตุฉะไหนชีวิตของคนบางคนถึงมีเลขตัวหนึ่งตามติดอยู่เสมอ เช่น เกิดวันที่ 14 ตอนเรียนได้เลขที่ 14 อยู่บ้านเลขที่ 14  นักกีฬาในดวงใจก็ดันมาสวมเสื้อเบอร์ 14 อีก 

 

         และระหว่างที่กำลังเดินเล่นที่อยู่ห้างดังใจกลางเมืองในวันที่ 14 เวลา 10.14 น. สายตาก็เหลือบไปเห็นโปสเตอร์หนังแผ่นหนึ่งแปะอยู่ เป็นใบหน้าของจิม แคร์รี่ย์ พร้อมกับชื่อหนังง่ายๆว่า The Number 23 ซึ่งเราก็ไม่ลังเลสักนิดที่จะเดินไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องที่ว่าในรอบเวลา 14 นาฬิกา บนที่นั่ง A 14

 

        หนังเล่าเรื่องของ วอลเตอร์ สแปโรว์ เจ้าหน้าที่กองควบคุมสัตว์ เขามีชีวิตที่ดี แต่งงานกับ อกาธ่า เจ้าของร้านขายเค้ก ทั้งคู่มีลูกชาย 1 คน ชื่อว่า โรบิน ดูเหมือนว่าทุกอย่างสำหรับครอบครัวเล็กๆนี้กำลังไปได้สวย แต่แล้วสุนัขตัวหนึ่งก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป หลังจากที่มัวแต่ตามจับเจ้าตูบอยู่ทำให้สแปโรว์ไปหาภรรยาสาย และพบว่าหล่อนไม่อยู่ที่ร้านขายเค้กเสียแล้ว หากแต่ไปหยุดอยู่ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่ อกาธ่าได้ซื้อหนังสือปกสีแดงชื่อว่า The Number 23 ให้กับเขา

 

เมื่ออ่านไปเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ ชายหนุ่มก็หลุดเข้าไปในเรื่องราวเหล่านั้น จากสิ่งที่ดูจะเป็นเพียงจินตนาการ ทุกอย่างกลับกลายเป็นเหมือนเรื่องจริง เป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับเขา หมายเลข 23 ตามหลอกเขาไปทุกหนทุกแห่ง นำไปสู่เรื่องราวของการฆาตกรรมที่เร้นลับ ท้ายที่สุดแล้วการสืบหาความจริงจึงดูจะเป็นหนทางเดียวในการหยุดเรื่องราวทั้งหมดนี้

 

หลังจากที่ฝากผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง The Phantom of the Opera ในปี 2004 สามปีถัดมา โจเอล ชูมัคเกอร์ ผู้กำกับที่เรารู้จักเขาดีจากเรื่อง Flatliners และ Batman Forever ก็กลับมาอีกครั้งกับหนังแนวสืบสวนสอบสวน โดยได้จิม แคร์รี่ย์ มานำแสดง ซึ่งคราวนี้ก็เป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของนักแสดงหนุ่มที่เราขำขันไปกับใบหน้าอันแสนจะทะเล้นของเขา

 

แต่จะว่ากันจริงๆแล้วการหันมาเล่นบทแบบนี้ของพ่อหนุ่ม The Mask ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่นัก เพราะหลังจากที่ได้รับเสียงชื่นชมมากมายจากเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind และรับแต่บทเดิมๆ มาตลอดชีวิตการแสดง ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงอยากจะหันมารับงานที่ท้าทายฝีมือการแสดงให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยเลือกที่จะรับบทบาทที่ต่างไปจากภาพที่เราคุ้นเคย

 

นอกจากนี้ยังเป็นการดึงตัวเองให้กลับมาอยู่ในความสนใจ มีเรื่องราวให้คนพูดถึงอีกครั้ง เนื่องเพราะตอนนี้เขาคนนี้ไม่ใช่ดาราตลกที่ถูกต้องการตัวเหมือนก่อนอีกแล้ว ไม่เชื่อลองถามสตีฟ คาร์เรล, วินซ์ วอน หรือ โอเว่น วิลสัน ดูก็ได้

 

The Number 23 เดินเรื่องไปตามสูตรของหนังฮอลลีวู้ดเป๊ะๆ ตัดต่อฉับไว เร้าอารมณ์ให้ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง เป็นหนังที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง แถมมีจุดหักมุมในตอนท้าย แม้ว่าจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นักก็ตาม และดูเหมือนว่าหนังจะคลี่คลายตอนจบง่ายไปสักนิด จบลงแบบสมหวังมากไปสักหน่อย ถ้าทำให้ผิดไปจากนี้ บางทีอาจจะให้อารมณ์กับคนดูที่ต่างไปอีกแบบก็ได้ ซึ่งนั่นจะทำให้หนังดูมีอะไรมากขึ้น

 

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ The Da Vinci Code งานของซูมัคเกอร์เรื่องนี้ก็ใช้วิธีการเดียวกันในการเล่าเรื่อง ใช้ข้อมูลจริงๆมาเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ดึงคนดูให้หลงไปกับความคิดที่ว่า “มันจริงหรือเปล่า” ซึ่งการทำแบบนี้ก็ทำให้เนื้อหาหลักของหนังถูกลงทอนลงไปด้วย

 

คราวนี้ลองมาดูกันว่า แล้วทำไมถึงต้องเป็นเลข 23  ด้วย ทั้งนี้มีความเชื่อกันมาว่า เหตุการณ์สำคัญต่างๆ มักจะเกี่ยวโยงกับตัวเลขคู่นี้ โดยเขาเรียกกันว่า 23 Enigma มีหนังสือทางคณิตศาสตร์และนวนิยายหลายต่อหลายเล่มก็เขียนถึงเรื่องนี้เช่นกัน บางคราวก็เรียก The Law of 23s ซึ่งเหตุการณ์ที่ถูกยกมายืนยันถึงเรื่องราวดังกล่าวก็มีมากมาย เช่น วันที่เครื่องบินชนตึกเวิล์ดเทรด 911 (9+11+2+0+0+1), จูเลียต ซีซาร์ถูกแทง 23 แผลจนเสียชีวิต หรือโครโมโซมของมนุษย์มี 23 คู่ เป็นต้น

 

และแน่นอน…ตัวเลขที่ปรากฏอยู่ในฉากต่างๆเมื่อนำมาบวก ลบ คูณ หารกันจะออกมาเท่ากับ 23 ทั้งสิ้น เช่น ป้ายทะเบียนรถของพระเอก, เลขที่ร้านหนังสือ และตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกา ก็เช่นกัน ทั้งนี้ยังไม่นับรวมวิธีการในเรื่องที่แทนค่า A=1, B=2 เรื่อยไปจนถึง Z=26 ซึ่งเราจะพบว่าชื่อของสุนัขในเรื่องคือ NED นั้น เมื่อถอดออกมาก็เท่ากับ 23 เช่นกัน เรียกว่าเดินออกมาจากโรงหนังจะบวกเลขเก่งขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว

 

ชื่อตัวละครก็เป็นอีกอย่างที่น่าสนใจ เช่น อกาธ่า เมื่อพูดถึงชื่อนี้แล้วนามที่คุ้นเคยกันดีก็คงจะหนีไม่พ้น “อกาธ่า คริสตี้” นักเขียนนิยายฆาตกรรมชื่อดัง ซึ่งในเรื่องตัวละครชื่อนี้คือคนที่หยิบยื่นหนังสือ The Number 23 ให้กับพระเอก หรือ นามของคนเขียนหนังสือเล่มดังกล่าวอย่าง Topsy Kretts แม้จะเขียนแตกต่าง แต่เมื่ออ่านแล้วแบ่งวรรคใหม่จะออกเสียงพ้องกับคำว่า Top Secrets ซึ่งก็หมายถึงความลับ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

 

 

หนังยังมีการนำประเด็นเรื่องกฎแห่งกรรมมากล่าวอ้างถึงอยู่กลายๆ ประมาณว่าใครทำสิ่งใดไว้ แม้จะตัวเองจะลืมมันไปแล้วก็ตาม แต่สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านั้นก็จะตามว่าหลอกหลอนอยู่ดี กรรมใดใครก่อกรรมนั้นตามสนอง อยู่ที่ว่าจะเร็วหรือช้าก็เท่านั้น

 

 

พ้นจากนี้สุนัขดูจะมีบทบาทมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังและเป็นเหมือนคนที่เห็นเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล จะว่าไปคำว่า DOG เมื่อนำมาเรียงใหม่เราก็จะได้ GOD ที่หมายถึงพระเจ้า ซึ่งเจ้าตูบในเรื่องก็ดูจะทำหน้าที่นี้อยู่กลายๆเช่นกัน

 

เมื่อดูหนังจบแล้วก็พาให้คิดได้ว่า...บางสิ่งบางอย่างก็เป็นลิขิตของสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าที่คนอย่างเราๆจะเข้าใจ และบางทีก็ไม่จำเป็นต้องไปตามล่าหาคำตอบ หรือหาเหตุผลให้กับทุกเรื่องราว เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า “โชคชะตา” จึงดูจะอธิบายสิ่งต่างๆได้ชัดเจนที่สุด แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว เราอาจจะไม่เข้าใจคำๆนี้มากเท่าไหร่นักก็ตาม