IMDB : tt0100777
คะแนน : 9
30 ปีที่แล้ว หนุ่มสาววัยรุ่นในบ้านเราพากันฮือฮากับหนังฮ่องกงเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าตอนนั้นคนดูหนังในบ้านเรายังให้การตอบรับกับหนังฮ่องกงอย่างอบอุ่นอยู่ก็ตาม แต่ก็มีหนังแค่ไม่กี่เรื่องที่จะสร้างปรากฏการณ์ระดับที่ใครต่อใครช่วยบอกกันปากต่อปากว่าต้องไปดูหนังเรื่องนี้ให้ได้ ถ้าไม่ใช่หนังของเฉินหลงหรือโจวเหวินฟะ แต่หลังจากวันที่ ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ออกฉาย แล้วใครพูดถึงวลี ‘อย่าแตะ’ ขึ้นมา ภาพของชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สีขาวและหญิงสาวหน้าละอ่อนที่ซ้อนท้ายก็จะผุดขึ้นมาในหัวคนดูหนังฮ่องกงทุกคน
หลิวเต๋อหัว ชื่อนี้อาจจะเป็นที่คุ้นเคยของแฟนละครทีวีบีจากบทเอี้ยก้วย ใน มังกรหยก ภาค 2 ตอน จอมยุทธอินทรี และอีกหลายเรื่อง (ต้องขออภัยที่ไม่ทันละครเรื่องก่อนหน้านั้นของเฮียแก) แต่ในฐานะนักแสดงนำในหนังจอเงินนั้น เขายังไม่สามารถแบกหนังไว้คนเดียวตลอดทั้งเรื่องได้ หลังจากที่หมดสัญญากับทางทีวีบี เขาก็มุ่งมาเล่นหนังใหญ่อย่างเต็มตัว แต่หลิวเต๋อหัวยังเป็นได้แค่นักแสดงสมทบที่ทำให้หนังแต่ละเรื่องดูน่าสนใจขึ้น ถ้าให้มาแสดงนำแบบเดี่ยวๆ บารมีของเขานั้นยังไม่พอที่จะให้ทางสตูดิโอวางใจในการรับบทนำในหนังทุนสูงแบบนักแสดงรุ่นพี่
จนกระทั่งเฉิน มู่เซิ่ง (Benny Chan) ต้องการทำหนังขึ้นมาเพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้กับหวังเทียนหลิน ปรมาจารย์ของเขา จึงเอาพล็อตเรื่องจาก ‘อาหลาง’ (All About Ah Long) หนังที่ออกฉายในปี 1989 นำแสดงโดย ‘โจวเหวินฟะ’ มาบิดเนื้อเรื่องเป็น ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ และเพราะทุนสร้างที่มีจำกัด เขาจึงเลือกหลิวเต๋อหัว ดาราที่พอจะมีชื่อเสียงและมีสายใยกับหวังเทียนหลินอยู่แล้วจากที่ทำงานร่วมกันสมัยอยู่ทีวีบีมารับบทนำ โดยนางเอกนั้นเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ยังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไทเป มารับบท
ช่วงที่หนังเข้าฉายในประเทศไทยนั้น เราเกิดทันหนังเรื่องนี้แต่ไม่ทันการรับชมในโรงภาพยนตร์ แต่รับรู้ได้ถึงความโด่งดังของหนังผ่านสื่อหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ที่ลงข่าวอัพเดตกระแสของหนังเรื่องนี้รายวัน (และรายสัปดาห์ในโทรทัศน์) พร้อมปรากฏการณ์มากมายของหนุ่มสาวที่คลั่งไคล้หลิวเต๋อหัว ทั้งการแต่งตัวด้วยชุดยีนส์ มีการจัดประกวดชายหนุ่มที่เหมือนหลิวเต๋อหัว และคนที่ดูหนังเรื่องนี้มากรอบที่สุด
จากการพูดคุยกับ ‘อาร์ม’ – ริทธิเมธ ทับสุวรรณ ผู้ก่อตั้งเพจ เก้ากระบี่เดียวดาย ที่ให้ทั้งความรู้และข้อมูลของหนังฮ่องกงหลายๆ เรื่องกับเรารวมถึง ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ซึ่งพี่เขาบอกกับเราว่าทันดูหนังเรื่องนี้ในโรง แต่เป็นการดูแบบที่ต้องยืนดูตลอดทั้งเรื่อง เพราะในตอนนั้นตั๋วที่นั่งของหนังเรื่องนี้เต็มทุกรอบ แม้แต่เก้าอี้เสริม (เก้าอี้เหล็กพับได้) ก็เต็ม ถ้าใครต้องการจะดูจริงๆ ก็ต้องซื้อตั๋วยืนเข้าไปดู ซึ่งพี่อาร์มคือหนึ่งในนั้น แสดงให้เห็นถึงพลังของหนังเรื่องนี้ที่เรียกได้เต็มปากว่ามีคนดู ‘ล้นโรง’
ส่วนเราก็อาศัยดู ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ทางวิดีโอเช่าที่แอบบันทึกมาโดยมีเสียงของใครก็ไม่รู้เป็นเป็นคนพากย์ ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกได้ถึงความสนุกของหนังแม้ส่วนใหญ่ภาพจะมืดๆ มัวๆ ก็ตาม จนได้มาดูฉบับสมบูรณ์อีกทีเมื่อหนังถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ ที่คราวนี้คมชัดทั้งภาพและเสียงจนซาบซึ้งไปกับเรื่องราวของตัวละครอย่างเต็มๆ
เนื้อหาของหนังเป็นเรื่องราวของตัวละครสองคนที่แตกต่างกันราวกับดอกฟ้าและสุนัขข้างถนน ชายหนุ่มที่เป็นนักเลงหัวไม้ใช้ชีวิตไปวันๆ กับการพนันขันต่อ ต่อยตี และเรื่องผิดกฎหมาย ส่วนหญิงสาวก็เป็นคนใสซื่อมองโลกในแง่ดี ครอบครัวมีฐานะ และกำลังจะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ความรักของทั้งสองคนได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ผ่านการเข้าอกเข้าใจในกันและกัน แม้พระเอกจะพยายามหลบหน้าหรือผลักไสนางเอกสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็แพ้ลูกตื๊อและความหัวรั้นของเธอ จนแม้แต่คนดูก็ยังต้องใจอ่อน
ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ถูกยกให้เป็นต้นแบบของหนังฮ่องกงหลายเรื่องที่พูดถึงนักเลงหัวไม้ และเปิดทิศทางใหม่ให้กับหนังแนวนี้ที่เปลี่ยนจากการไล่ยิงกันด้วยปืน มาเป็นจับมีดจับท่อนเหล็กไล่ตีกันที่ติดดินและสมจริง จนต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่หลิวเต๋อหัวจะวางมือจากบทนักเลงกระจอกแล้วส่งมอบตำแหน่งนี้ให้กับเจิ้งอี้เจี้ยนในบทเฉินฮ่าวหนาน จากภาพยนตร์เรื่อง กู๋หว่าไจ๋
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงความอมตะก็คือความประณีตในการถ่ายทำแต่ละฉากของหนังที่ผู้กำกับให้ความใส่ใจและโชว์งานด้านภาพอย่างบรรจง เมื่อหนังถูกนำมาปรับปรุงอีกครั้งให้มีความคมชัดสำหรับการฉายในโรงดิจิทัลยุคนี้ การเข้ามาดู ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ในโรงภาพยนตร์สำหรับเราวันนี้ จึงเหมือนได้มาดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก เพราะตื่นตาตื่นใจกับการมององค์ประกอบในการถ่ายภาพแต่ละฉาก ที่หลายซีนนั้นกระทำความหว่องได้อย่างสวยงาม ฉายภาพฮ่องกงในช่วงปลาย 80s ออกมาได้สวยงาม โดยเฉพาะการตีความด้านภาพที่เมื่อไหร่เป็นฉากของอาหวอ (หลิวเต๋อหัว) อยู่คนเดียว ช่างภาพไม่เพียงแต่จะสามารถดึงเอาศักยภาพของหลิวเต๋อหัวออกมาได้อย่างคุ้มค่า แต่ยังดีไซน์ให้แต่ละฉากนั้นมีแสงสีที่ฉูดฉาดและมืดหม่น ราวกับโลกที่ไร้แสงสว่างที่อาหวอต้องอยู่ในนั้น แต่เมื่อไหร่ที่นางเอกเข้ามามีส่วนร่วมกับอาหว๋อแต่ละฉากกลับสว่างไสวและมีความฟุ้งราวกับภาพฝันที่สวยงาม
จนกระทั่งในตอนท้ายที่ชีวิตทั้งสองต้องพบกับความเป็นจริง โลกที่สว่างสวยงามถูกแทนที่ด้วยเรื่องราวของตอนกลางคืนที่มืดมน แม้ตัวหญิงสาวจะยังดูสดใสและทั้งสองจะใส่ชุดแต่งงานสีขาวที่ดูมีความหวัง แต่ในตอนจบนั้นสีขาวของชุดเจ้าสาวก็ไม่อาจจะสู้กับความมืดมิดบนถนนที่เธอกำลังวิ่งตามหาคนรักได้
นอกจากงานด้านภาพที่เอามาดูตอนนี้ก็ยังไม่เชยแล้ว งานด้านเสียงก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน ทั้งทีมพากย์ใหม่ที่พยายามเก็บความรู้สึกและเคารพกับการพากย์จากทีมพากย์รุ่นเก่าให้มากที่สุด ดูแล้วเนียนจนแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลย ยังมีส่วนของเพลงประกอบหนังที่ทั้งไพเราะและเข้ากับเนื้อหาของเรื่องอย่างกลมกลืน
เพราะใน ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ เวอร์ชันนี้ มีการทำซับบรรยายเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยไว้ด้วย ดังนั้น ในแต่ละฉากที่มีเพลงประกอบดังขึ้นมา คนดูก็จะรับรู้ถึงเนื้อหาของหนังได้อย่างสมบูรณ์กว่าครั้งที่ผ่านมา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราจึงอยากดูหนังเรื่องในโรงภาพยนตร์สักครั้ง เพราะถึงแม้ตัวเนื้อหานั้นจะพ้นยุคสมัยไปแล้ว เรื่องของดอกฟ้ากับหมาวัดและโศกนาฏกรรมของนักเลงกระจอกกับลูกคุณหนูนิสัยดีอาจจะตกยุคไปแล้วสำหรับวันนี้ แต่การได้เห็นความเฉียบคมในงานโปรดักชัน ทั้งงานภาพ เสียง และสภาพฮ่องกงในอดีตแบบคมชัดเต็มๆ ตาแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าอีก 30 ปีต่อไป จะมีใครนำหนังเรื่องนี้กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์ ให้เราได้รำลึกถึงวันชื่นคืนสุขสมัยเด็กๆ กันอีกหรือเปล่า