IMDB : tt1620680
คะแนน : 1
A Wrinkle in Time เป็นงานแฟนตาซีดราม่าที่ถูกถ่ายทอดออกมาแบบกลาง ๆ ไม่เลือกดาร์คหรือสว่างโลกสวยไปทางใดทางหนึ่งเหมือนกับ The Monster Call หรือ Inside Out ซึ่งนั่นมีส่วนทำให้ตัวหนังขาดจุดเด่นจุดดึงดูดในการนำพาไปสู่แก่นเรื่องที่แท้จริง โดยเฉพาะรูปแบบการนำเสนอ การเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเนือย และพยายามยัดเนื้อหา ยัดเมสเซจย่อย ๆ เข้ามามากเกินไป บางคนอาจจะรู้สึกชอบกับการที่หนังขยันยิงปรัชญาของคนดังทั่วโลกเข้ามาในเรื่องเป็นระยะ ๆ แต่มันก็เป็นเส้นบาง ๆ ระหว่างการเติมเต็มกับข้อมูลที่ล้นทะลัก หนังเดินเรื่องช้า แต่ไม่ได้ประณีต บรรยากาศของหนัง ไดอะล็อกและ performance ของนักแสดงเด็กวัยทีนในเรื่องที่ยังขาด ๆ เกิน ๆ ทำให้คนดูบางส่วนอาจเลือก ‘ดับไฟ’ ไม่อินต่อตั้งแต่ครึ่งเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ตัวหนังมาทำได้ดีในช่วงท้าย ๆ ซึ่งต้องขอยกเว้น สาวน้อย สตรอม รีดส์ ไว้คนหนึ่ง ที่สวมบทบาทของ เมก เมอรี่ ได้มีเสน่ห์และดูเป็นเด็กสาวที่ฉลาดปราดเปรื่องพึ่งพาได้ตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าเป็น ‘เดอะ แบก’ ของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ประเด็นที่หนังชูแก่นแท้ในเรื่องของความรักในครอบครัวเริ่มแตกดอกออกผลและเริ่มอินตามในช่วงนี้แหละ มันเป็นเรื่องของการนำเสนอแนวคิดในแบบมนุษย์นิยม ความรักความเข้าใจและการอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน ความเป็นสัตว์สังคมที่ยังไงก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์ เหนือกว่าความทะเยอทะยานที่มีแต่ตัวเราเองที่ได้สัมผัสมัน นั่นเลยทำให้หนังเน้นให้เวลากับฉากความสัมพันธ์ ความรักของครอบครัวค่อนข้างมาก นอกเหนือจากนั้นการนำเสนอในแง่ของมิติเวลาก็ถือว่าหากใครอิน ก็จะประทับใจไปเลย หากไม่อินก็จะแอนตี้ไปเลยเหมือนกัน
ส่วนตัวชอบไอเดียในการใช้คำว่า มิติเวลา มาจับประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ มันก็เหมือนผีที่เราไม่เคยเห็นจริง ๆ แต่ก็เป็นไปได้ว่าเพียงเพราะเขาอยู่คนละมิติเวลากับเรา เขามองเห็นเราแต่สัมผัสเราไม่ได้ หนังเรื่องนี้ยังมีการใส่ความเชื่อแทรกในเรื่องของมิติโลกคู่ขนาน เชื่อไหมว่าแฟนที่เคยหมดรักเราทุกคน เขายังมีความรักและความทรงจำของเรา แต่อยู่ในอีกมิติเวลา ในอีกคลื่นความถี่ หากคนเหล่านั้นจับคลื่นให้ถูก ความรู้สึกจะสัมผัสถึงกันได้อีกครั้ง จริง ๆ แล้วน่าเสียดายเหมือนกันที่ A Wrinkle in Time เน้นกลุ่มเป้าหมายเด็กเลยไม่ได้มาจับประเด็นนี้ให้หนังดูยากขึ้น