ค้นหาหนัง

Across the Universe

Across the Universe
เรื่องย่อ : Across the Universe

Across the Universe ผลงานของผู้กำกับ จูลี่ เทย์เมอร์ คือภาพยนตร์เพลงแนวร็อคโอเปร่าปฏิวัติวงการ ที่ปลุกอารมณ์รำลึกแห่งยุค 1960 ช่วงเวลาที่แนวรบถูกขีดขึ้นในอเมริกา และประเทศอีกซีกโลก เมื่อจู๊ด (จิม สเตอร์เกสต์) หนุ่มอังกฤษได้ทิ้งลิเวอร์พูลบ้านเกิดเพื่อตามหาพ่อในอเมริกา เขาเซซัดไปตามคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะพลิกโฉมหน้าประเทศจนได้พบและตกหลุมรักกับ ลูซี่ (อีวาน ราเชล วู้ด) หญิงสาวมีฐานะชาวอเมริกัน ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มต่อต้านสงครามในนิวยอร์ก เมื่อศพของทหารที่ร่วมรบบนโลกที่แสนสับสนวุ่นวายใบนี้ พิเศษกับการปรากฎโฉมบนจอของนักร้องชื่อก้องโลก โบโน่ Across the Universe คือภาพยนตร์ที่คุณจะต้องดูแล้วดูอีก ดุจอัลบั้มเพลงโปรดของคุณที่ฟังได้บ่อยไม่รู้เบื่อ

IMDB : tt0445922

คะแนน : 8



จูลี เทย์มอร์ (ผู้กำกับ Frida) กลับมาคราวนี้พร้อมกับงานสุดเปรี้ยวอีกแล้ว กับ “Across the Universe” หนังเพลงที่อบอวลไปด้วยความรัก ความสนุก
ความเศร้า (แม้แต่ความหลุดโลก) เรียกได้ว่าหลากอารมณ์

เรียงร้อยกันด้วยเพลงจากวงดนตรีดังที่ไม่น่าจะมีใครไม่รู้จัก
แม้จะเกิดไม่ทันก็ตาม

น่าเสียดายที่ฉายน้อยโรงมากๆ ไม่รู้ว่านอกจากที่โรงในเครือเอเพ็กต์แล้ว ยังมีฉายที่โรงอื่นบ้างหรือเปล่า แต่คนดูอุ่นหนาฝาคั่งกว่าที่คิด คงจะยืนโรงได้เป็นเดือนๆ

โดยส่วนตัว สิ่งที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ คงเพราะตั้งแต่ได้ยินชื่อหนังแล้ว (เพราะหลงรักเพลงนี้มาจาก I am Sam)


...ต่อจากนี้อาจเป็นสปอยล์ กรุณาหลีกเลี่ยง หากอยากไปดูในโรงและต้องการได้รับอรรถรสครบถ้วน...

หนังเคลือบด้วยความสวยงาม หอมหวาน และความรักระหว่างหนุ่มหล่อสาวสวยที่ต่างก็มีคู่หมายด้วยกันทั้งคู่

(ลองดูใบปิดแล้วจินตนาการว่าเป็นเรื่องรักหวานเจี๊ยบสิ ใครที่ไม่ได้ดูตัวอย่างหนังมาก่อนคงจะงงอยู่เหมือนกันนะ ที่เปิดเรื่องมาก็เจอพระเอกร้องเพลงใส่หน้าน่ะ)

ทว่าแท้จริง กลับตีแผ่ความโหดร้ายของสงคราม
ความไร้สติของผู้มีอำนาจ ตลอดจนกัดอเมริกาเสียเปื่อย

(ตบมือสะใจในฉากที่ทหารอเมริกันร่วมใจกันแบกเทพีเสรีภาพ
แล้วก็บ่นว่าเธอนั้น ช่างหนักเหลือเกิน)



เรื่องย่อ : จู๊ด ชายหนุ่มคนงานท่าเรือจากเมืองลิเวอร์พูล
(บ้านเกิด the Beatles) ลาแฟนสาวบนเกาะอังกฤษเพื่อเดินทางไปตามหาพ่อที่อเมริกา แม้จะผิดหวังที่พ่อไม่ค่อยให้การต้อนรับเขาเท่าที่ควร
แต่จู๊ดกลับได้เพื่อนใหม่อย่างแมกซ์ ที่นำพาความรักมาให้เขา
นั่นก็คือลูซี่ น้องสาวของแมกซ์นั่นเอง แม้จะโชคร้ายที่เธอก็มีแฟนอยู่แล้ว
แต่แฟนของเธอเสียชีวิตให้กับสงครามในเวลาต่อมา
ทำให้เธอช็อกและต้องการไปอยู่กับแมกซ์ที่นิวยอร์คสักพัก

เมื่อพบจู๊ดอีก รักของเธอและเขาก็ผลิบาน ท่ามกลางสงครามเวียดนามที่คุกรุ่น และแมกซ์ถูกเกณฑ์ไปรับใช้ชาติ ในบรรยากาศยุค 60 ที่ประชาชนรวมตัวกันเรียกหาสันติภาพ ด้วยพลังบริสุทธิ์ และอิสระเสรี

(แต่ยังไงรัฐก็ไม่เคยฟังเสียงพวกเขาอยู่ดี)

...ด้วยอุดมการณ์แตกต่าง ลูซี่ร่วมเรียกร้องสันติภาพ เพราะเธอไม่อยากเสียคนที่รักด้วยสงครามอีกแล้ว ทว่าจู๊ดกลับไม่เห็นดีด้วยกับสิ่งที่เธอทำ ทั้งคู่เริ่มขัดแย้งกันมากเข้า และแล้วก็มีเหตุให้จู๊ดถูกจับและส่งกลับประเทศ...

เรื่องจะลงเอยอย่างไรกันนะ



ดารานำ อีแวน ราเชล วู้ด (ลูซี่ นางเอกสาวสวย), จิม สเตอร์เกส (จู๊ด พระเอกสุดอาร์ท), โจ แอนเดอร์สัน (แมกซ์ เพื่อนจู๊ด พี่ชายลูซี่) , ดานา ฟัช (เซดี้ นักร้องสาวเสียงเก๋), มาร์ติน ลูเทอร์ แมคคอย (โจโจ้ หนุ่มผิวสีผู้มีดนตรีในหัวใจ) และที วี คาร์พิโอ (พรูเดนซ์ เชียร์ลีดเดอร์สาวผู้ค้นพบตัวเองว่า...นิยมทั้งสองเพศ)

ด้วยเพลงประกอบจากวง the beatles ล้วนๆ 30 กว่าเพลงด้วยกัน
แต่นำมา cover ด้วยเสียงตัวแสดงให้เหมาะกับแต่ละเรื่องราว
(แล้วจะงง ว่าคุณก็รู้จักเพลงของวงนี้มากกว่าที่คิด
อย่างน้อยใครเคยผ่านตาหนัง I am Sam น่าจะคุ้นๆ หลายเพลงเลย)

จากที่ได้ดูหนัง ทำให้เพิ่งเข้าใจความหมายของหลายๆ เพลงของวงสี่เต่าทอง
ก็เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้นี่แหละ

(จากที่เคยสงสัยเนื้อหาหลายๆ เพลงที่ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมมากๆ อย่าง “Strawberry Field Forever” จนบางครั้งคิดไปว่า
พวกเขาแต่งเพลงได้ตอนเมายา แต่ที่ไหนได้ เขาคิดมานะ
เป็นการอุปมาต่างหาก แล้วก็เจ๋งมากๆ)



นอกจากตัวหนังแล้ว ยังอยากให้ไปหา Soundtrack กันมาฟังด้วยเอาให้อิ่มกันไปเลย เพราะถึงคุณจะออกมาจากโรงแล้ว แต่แน่นอนว่าต้องมีสักเพลงติดอยู่ในหัวคุณตลอดทางกลับบ้านแน่

ซาวด์แทรกเอง ก็มี 2 แบบด้วยกัน คือแบบธรรมดา ประกอบด้วย 16 เพลง ส่วนแบบพิเศษ อัดแน่นด้วย 31เพลงในแบบเรียงตามลำดับที่ปรากฏในหนังนั่นแหละ (ยกเว้นบางจังหวะที่ใช้ 2 เพลงผสมผสานกัน ก็ทำออกมาได้อารมณ์ไปอีกแบบ)


ช็อตกระชากอารมณ์ที่สุดในหนัง น่าจะเป็นฉากที่มีเพลง “Let it be” คลอไปด้วย แม้ดนตรีจะทรงพลังแค่ไหน ถ้าไม่มีภาพอย่างที่ปรากฏบนจอตอนนั้น คงจะไม่เรียกน้ำตาท่วมจอขนาดนั้นแน่

อีกฉากสุดเจ๋ง คือฉากที่มีเพลง “Come Together”

แม้จะมีเสียงบ่นอยู่เหมือนกันว่า ออกจะเป็นมิวสิกวิดีโอไปหน่อย
หรือหนังยาวไปไหม จริงอยู่ที่บางฉากดูเป็นมิวสิกวิดีโอ
แต่ความยาวของหนัง เรียกได้ว่าดูได้กำลังเพลิน ไม่น่าเบื่อเลยสักตอน
เอาเป็นว่าถ้าได้ดูจบออกมาจากโรงแล้ว ยังคงอยากดูอีกสักหลายๆ รอบ

อย่าลืมตบมือดังๆ ด้วยนะ