IMDB : tt6306064
คะแนน : 6
หนังได้บัลธาซาร์ คอร์มาเคอร์ มากำกับ ซึ่งก็ดูจะถนัดกับงานแอ็คชั่นมาก ทั้ง 2 Guns (2013) และ Contraband (2012) แล้วก็เปลี่ยนแนวมากำกับ Everest (2015) หนังแนวเอาชีวิตรอดเช่นกัน ก็พอมาทำ Adrift ก็ถือว่าแนวใกล้เคียงกัน ด้วยพื้นฐานที่มาจากงานแอ็คชั่นทำให้ฉากไคลแมกซ์เมื่อเรือของทั้งคู่ต้องเผชิญกับเฮอร์ริเคนออกมาดุเดือดสมจริง บวกกับวิวัฒนาการของงานซีจีในการสร้างภาพคลื่น ตั้งแต่ Titanic มาสู่ Perfect Storm จนมาถึง Adrift แม้ไม่ใช่หนังทุนสูงแต่ก็สร้างภาพคลื่นออกมาดูสมจริงมากขึ้น เสียดายที่ว่าฉากเฮอร์ริเคนที่นับว่าเป็นไฮไลต์ของเรื่องอย่างนี้กลับออกมาสั้นนัก ด้วยความที่เป็นผู้กำกับสายแอ็คชั่น เมื่อถูกจับมาทำหนังที่เป็นโทนโรแมนติกจึงยังถ่ายทอดความรักซาบซึ้งของทั้งคู่ออกมาได้ไม่ถึงจุดนัก แม้เนื้อหาหนังจะเอื้อให้เรียกน้ำตาได้ อีกทั้งหนังก็ใช้เวลาหมดไปกับช่วงเวลาสวีทวีดวิ้วของทั้งคู่มากพอดู สุดท้ายหนังก็เลยไปได้ไม่สุดทั้งด้านโรแมนติก และความเข้มข้นของฉากแอ็คชั่น
บทหนังเหมือนอยากจะเล่าอะไรมากมายในเวลา 96 นาที ทั้งอดีตรักของทั้งคู่ เหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังโดนพายุ ทำให้ 41 วันที่ทั้งคู่ต้องลอยอยู่กลางทะเลผ่านไปค่อนข้างเร็ว สิ่งที่ขาดหายไปก็คือการเผชิญความลำบากที่กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน ไม่ได้สัมผัสถึงความกดดัน ท้อแท้อย่างที่ควร เมื่อเทียบกับหนังเอาชีวิตรอดท่ามกลางทะเลเรื่องอื่น ๆ อย่าง Life Of Pi , Cast Away , Unbroken ทุกเรื่องที่ยกมาล้วนแล้วแต่กดดัน หดหู่ ดูสิ้นหวังกว่ามาก แต่กับ 41 วันของ Adrift ดูจะผ่านพ้นไปง่ายดายกว่า ทั้งที่เป็นหนังที่มีต้นฉบับเป็นเรื่องจริง ซึ่งน่าจะได้เปรียบกว่าและน่าจะเล่าเรื่องราวออกมาได้เข้มข้นสมจริงกว่าด้วยซ้ำ แต่ผู้เขียนบทเลือกที่จะปล่อยผ่านความลำบากแร้นแค้นบนเรือ แต่ไปเน้นที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่จะนำมาหักมุมในช่วงท้าย ก็นับว่าเซอร์ไพรส์พอควร ก็คิดเสียว่าได้อย่างเสียอย่างนะ
สรุปได้ว่า Adrift เป็นหนังผจญภัยเอาชีวิตรอดที่เล่าเรื่องราวได้สนุกน่าติดตาม นักแสดงตั้งใจริง ทีมงานทุ่มเทกว่าจะถ่ายทำสำเร็จ ต้องแล่นเรือออกทะเลวันละ 2 ชั่วโมงแล้วต้องถ่ายทำกลางทะเลวันละ 12 ชั่วโมง จนทีมงานเมาคลื่นกันไปถ้วนหน้า แม้ฉากแอ็คชั่นจะไม่เต็มอิ่มนัก งานโรแมนติกจะไม่ถึงขั้นเรียกน้ำตาได้ แต่โดยรวมก็เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้ดี มีดีที่หักมุม คุ้มเวลากับค่าตั๋วครับ