ค้นหาหนัง

Asakusa Kid เด็กอาซากุสะ

Asakusa Kid
เรื่องย่อ : Asakusa Kid เด็กอาซากุสะ

ในประเทศญี่ปุ่นช่วงยุค 60 คิตาโนะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อทำตามความฝันของตัวเองในการที่จะเป็นนักแสดงตลก เขาเริ่มทำงานเป็นเด็กกดลิฟต์ของสถานบันเทิงย่าน ตลกชื่อดังย่านอาซาคุสะ และเริ่มรับงานแสดงตลกในโรงละครเปลื้องผ้า ทำให้เขาได้เจอ เซ็นซาบุโร่ ตลกชื่อดังย่านอาซาคุสะ เขาจึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ จนเขาเริ่มฌด่งดังขึ้น แล้วเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ เชิญรับชมกันได้เลย

IMDB : tt13528562

คะแนน : 9



หนังดราม่าชีวประวัติจากญี่ปุ่นที่เน็ตฟลิกซ์สร้างออกมาได้อย่างดีงามมาก ด้วยเรื่องราวตลกปนเศร้าที่บาลานซ์ทั้งสองอย่างได้ดีตลอดเรื่อง การันตีเลยว่าผู้ชมต้องขำกับมุกตลกญีปุ่นโบราณๆ ในเรื่องได้แน่นอน แถมตามด้วยอาการน้ำตาซึมจากความประทับใจที่เรื่องนี้มอบให้ไปพร้อมกันด้วยครับ

เด็กอาซากุสะ หนังญี่ปุ่น Original Netflix หนังชีวประวัติของ คิตาโนะ ทาเคชิ ดาวตลกที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์หลายด้านของญี่ปุ่น เป็นการเล่าเรื่องจุดเริ่มต้นการเดินทางสายตลกของเขาที่ผูกพันกับอาจารย์ ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่  นักแสดงตลกในโรงละครเปลื้องผ้าในอาซากุสะ ที่กลายมาเป็นความทรงจำไม่เคยลืมเลือนของเขา

ผลงานนี้เป็นภาพยนตร์ ที่สร้างจากบันทึกความทรงจำของคิตาโนะเรื่อง Asakusa Kid  โดยคิตาโนะ ทาเคชิ หรือ “บีท ทาเคชิ” เป็นดาวตลกที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์หลายด้านรวมถึงเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ใครๆ ในญี่ปุ่นต่างก็รู้จักดี โดยเป็นเรื่องราวก่อนเข้าสู่วงการของเขา ในฐานะลูกศิษย์ของดาวตลกชื่อดังจากย่านอาซากุสะ แต่ไม่ใช่เรื่องราวชีวประวัติทั้งหมดของเขา เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของความทรงจำร่วมกับอาจารย์คนนี้เท่านั้น

รื่องนี้ดำเนินเรื่องในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 ในอาซากุสะซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างเสื่อมทรามของโตเกียว หลังลาออกจากมหาวิทยาลัย คิตาโนะ ไปตามฝันเป็นตลก เขาได้งานที่ฟรานซ่า ซึ่งเป็นโรงละครเปลื้องผ้าและโชว์ตลกในอาซากุสะ  จากนั้นไม่นานเขาก็ได้สั่งสมประสบการณ์จากดาวตลกในตำนานอย่างฟุคามิ เซ็นซาบุโร่  ผู้บอกให้ลูกศิษย์ของเขาหัดนำกรอบความคิดของนักแสดงตลกเวลาอยู่บนเวทีไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย  (ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ คือ ตลกระดับปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงหลายคน)  คิตาโนะทำงานอย่างหนักภายใต้การดูแลของฟุคามิเพื่อฝึกปรือฝีมือ และบรรลุความฝันที่จะได้เป็นนักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เมื่อการรับชมโทรทัศน์เป็นที่นิยมมากขึ้น การแสดงตลกแบบสดจึงค่อยๆ หมดความนิยมไป เขาจึงต้องเจำใจเลือกเส้นทางใหม่แยกทางจากอาจารย์ของตัวเอง

ตัวหนังถึงแม้ผู้ชมจะไม่รู้จัก คิตาโนะ ทาเคชิ หรือ “บีท ทาเคชิ” เลยก็ยังสามารถรับชมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เพราะที่จริงเรื่องราวค่อนข้างจะเทน้ำหนักให้กับชีวิตของอาจารย์ของเขา ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ มากกว่า ซึ่งตัวเรื่องเขียนจากความทรงจำที่เขาได้ไปคลุกคลีสนิทสนมกับอาจารย์ในฐานะเด็กกดลิฟต์ ก่อนจะพยายามฝึกฝนจนอาจารย์ยอมรับ ซึ่งก็เหมือนอาจารย์มองเขาในวัยหนุ่มขาดว่าคนนี้จะกลายเป็นตลกชื่อดังในอนาคต ซึ่งการที่อาจารย์มองขาดก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีอะไรร่วมกันมากกว่าแค่ศิษย์กับอาจารย์ ในหนังแทบจะทำให้เราคิดว่าอาจารย์มองเขาเป็นเด็กน้อยหรือลูกคนหนึ่งที่ต้องพยายามช่วยอุ้มชูให้มากที่สุด อย่างจ่ายค่าเช่าห้องให้เขาไม่ต้องนอนในห้องแต่งตัวของโรงละคร หรือการยอมทนขาดทุนกับโรงละครแห่งนี้เพื่อให้ทาเคชิมีงานทำ ซึ่งนักแสดงอย่าง “โย โออิซุมิ” ผู้รับบทนี้ก็แสดงได้กินใจมาก สอดรับกับ “ยูยะ ยากิระ” ที่แสดงเป็นทาเคชิได้อย่างลงตัวเป็นธรรมชาติเหมือนตัวจริงมาก แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะมีจุดที่ต้องแยกจากกัน แต่หนังก็ยังโฟกัสตัวอาจารย์ต่อไป แสดงให้เห็นว่าแม้ศิษย์แยกทางไปแล้ว แต่อาจารย์ก็ไม่เคยลืมลูกศิษย์คนนี้เลย ซึ่งดราม่าความสัมพันธ์นี้ทำได้ถึง และมีช่วงที่ลึกซึ้งกินใจมากพอดูเหมือนกัน ใครที่อ่อนไหวมากก็อาจจะเสียน้ำตาได้เลย

แต่หนังก็ไม่ได้มีแต่ดราม่าเป็นจุดขายหลัก หนังยังจับจุดเอาเรื่องตลกตั้งแต่การแสดงในโรงละครของทั้งคู่ จนมาถึงการแยกทางออกไปเล่นมันไซ (ตลกแบบคู่ไมโครโฟน) ซึ่งทำให้เราเห็นการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของวงการตลกในญี่ปุ่น ซึ่งก็น่าจะคล้ายคลึงกันทั่วโลก ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้ก็นำเสนอมุกตลกในแต่ละยุคพร้อมกันไปด้วย อย่างอาจารย์ของทาเคชิที่ไม่เอาการเล่นตลกจากการทำหน้าตาให้ตลก คนดูต้องเคารพแล้วหัวเราะตลกจากมุกที่ยิงออกไป หรืออย่างทาเคชิที่แรกๆ ก็ยิงมุกแป๊กไม่ผ่าน จนมาตอนหลังยอมก้าวข้ามเส้นตลกไปถึงเรื่องสีผิวการเหยียดแบบขำๆ ก็ทำให้เริ่มโด่งดังมีชื่อเสียง แต่ก็ไปเจอโลกของตลกในวงการทีวีที่ต้องห้ามมุกแนวนี้จนแทบไปไม่เป็น แต่เนื้อหาทั้งหมดของช่วงเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปในแบบเครียดเลยแม้แต่น้อย กลับเต็มไปด้วยฉากยิงมุกตลกที่คนดูต้องหลุดขำตามได้จริงๆ จนกลายเป็นช่วงที่คอนทราสตัดกันกับดราม่าความสัมพันธ์เศร้าของทั้งๆ คู่แบบที่กล่าวไปด้านบน

หนังยังมีซัพพล็อตเรื่องราวความรักของทาเคชิกับนักแสดงเปลื้องผ้าในโรงละครมาเกี่ยวข้องด้วย (เล่นโดย มูกิ คาโดวากิ ) ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มก่อร้างสร้างมาจากเธอเห็นเขาเป็นแค่เด็กกดลิฟต์ที่แอบเห็นเธอร้องเพลงในยามที่โรงละครปิด ซึ่งตรงนี้เป็นความฝันและความลับของเธอก่อนมาทำอาชีพนี้ การที่เธอได้แรงฝันจากทาเคชิที่พยายามเป็นตลกให้ได้ แล้วก็ยังแบ่งเวลามาสนับสนุนผลักดันความฝันการเป็นนักร้องให้เธอในโรงละครเปลื้องผ้านี้ด้วย ทำให้ก่อเกิดเป็นความประทับใจแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่มีความเข้าอกเข้าใจในกันและกัน แต่ก็ยังไม่ได้ข้ามเส้นเป็นแฟนกันสักที ซึ่งในหนังเราก็จะได้เห็นบทสรุปความรักครั้งแรกของทาเคชิไปด้วย

แต่ด้วยความที่หนังเลือกโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์กับอาจารย์ของเขาเป็นเมนเรื่องหลัก การที่หนังพยายามใส่ซัพพล็อตความรัก หรือเรื่องคู่หูเล่นตลกมันไซกับบทอื่นอย่าง นักเขียนบทให้ทาเคชิสมัยอยู่โรงละคร พวกนี้แม้มีบทในทำนองคนร่วมฝันกับตัวเอกแต่กลับไม่ได้รับการสานต่อให้คนดูรู้ว่าเขาตามฝันสำเร็จเหมือนทาเคชิหรือไม่ บทของตัวละครเหล่านี้ถูกสคิปข้ามหรือตัดหายไปเลยอย่างน่าเสียดายมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าเวลาของหนังยาวมากแล้วถึง 2 ชั่วโมงเต็ม คงไม่สามารถใส่รายละเอียดเพิ่มลงไปได้อีกไม่งั้นจะดูยืดยาวน่าเบื่อเกินไป และก็ไม่ใช่เรื่องทาเคชิโดยตรงอย่างที่หน้าหนังวางไว้ด้วยครับ

และในเรื่องนี้ทาเคชิตัวจริงก็ยังมาร่วมเล่นด้วย โดยเปิดฉากเปิดในปัจจุบันที่เขาอายุมากแล้วหวนคิดกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการ ก่อนตัดกลับมาอีกทีเอาตอนจบปิดท้ายเลยเป็นการกลับไปเยี่ยมโรงละครฟรานซ่าในปัจจุบัน แล้วก็ฉายภาพอดีตเหตุการณ์เก่าๆ กลับมาระหว่างที่เขาเดินเข้าไป ซึ่งตรงนี้บางจุดก็ช่วยตอบข้อสงสัยบางอย่างที่หนังในตอนแรกไม่ได้เล่าให้หมดด้วย นับว่าเป็นตอนจบที่ทำได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ

นี่เป็นหนังดราม่าชีวประวัติจากญี่ปุ่นที่เน็ตฟลิกซ์สร้างออกมาได้อย่างดีงามมาก ด้วยเรื่องราวตลกปนเศร้าที่บาลานซ์ทั้งสองอย่างได้ดีตลอดเรื่อง การันตีเลยว่าผู้ชมต้องขำกับมุกตลกญีปุ่นโบราณๆ ในเรื่องได้แน่นอน แถมตามด้วยอาการน้ำตาซึมจากความประทับใจที่เรื่องนี้มอบให้ไปพร้อมกันด้วยครับ