ค้นหาหนัง

Before Sunset ตะวันไม่สิ้นแสง แรงรักไม่จาง

Before Sunset ตะวันไม่สิ้นแสง แรงรักไม่จาง
เรื่องย่อ : Before Sunset ตะวันไม่สิ้นแสง แรงรักไม่จาง

เรื่องราวความรักของชายหญิงคู่หนึ่งที่ต้องจากกันไปด้วยเหตุจำเป็นของชีวิต ก่อนจากกันทั้งสองสัญญาว่าจะกลับมาพบกันใหม่ เมื่อ 9 ปีผ่านไป ทั้งคู่ต่างผ่านเรื่องราวชีวิตมากมาย จนเมื่อมีโอกาสได้พบกันใหม่อีกครั้ง เขาและเธอจะมีโอกาสได้สานความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปกับกาลเวลาหรือไม่

IMDB : tt0381681

คะแนน : 9



ที่ผมเขียนนี้ไม่เชิงเป็นรีวิว แต่ออกแนวรำพึงมากกว่า และน่าจะสปอยล์สำหรับใครหลายๆ คน หากไม่อยากทราบก็ข้ามบทรำพึงนี้โลดเลยนะครับ แต่หากอยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้น่าดูไหม ลองเหลือบดูดาวที่ผมให้ก็แล้วกันครับ

7 ปีก่อน ขณะกำลังรอรับแฟนที่เรียนโทอยู่ ม.ธรรมศาสตร์ ผมก็จะชอบหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลา เช่น เดินรอบมหาลัย, สังเกตผู้คน, ยืนจ้องแม่น้ำ หรือเหม่อไปที่ฝั่งศิริราช แอบถามในใจว่าคนฝั่งโน้นมีใครเหม่อมาฝั่งนี้บ้างไหม และอีกสิ่งที่ผมชอบทำคือการลงไปอ่านหนังสือที่หอสมุดชั้นใต้ดิน

อยู่มาวันหนึ่งผมก็ทราบว่าที่นั่นมีหนังให้เลือกชม และหนังเรื่องแรกที่ผมเลือกก็คือเรื่องนี้ครับ Before Sunset

ระหว่างผมเดินถือแผ่นหนังเพื่อมานั่งดู ก็คิดขึ้นมาในใจว่า ครั้งแรกที่รู้จักกับ “เจสซี่” และ “เซลีน” นั้น ผมยังไม่มีแฟน ผมได้แต่จินตนาการนิยามรักไปตามที่นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์เป่าหูเป่าตาบอกว่ามันแสนหวาน น่ารัก มีแต่คำว่า “สุข” บรรจุอยู่เต็มไปหมด

และตอนจบของหนังมักทำให้คิดว่า “เมื่อใครอีกคนตกลงรับรักจากเรา มันคือเส้นชัย มันคือปลายทาง มันคือ Happy Ending”

ครั้นผ่านมาหลายปี (หลังจากดู Before Sunrise) เมื่อผมได้พบคนที่ต้องตาต้องใจและสานสายใยรักจนเธอยอมเรียกผมว่า “แฟน” ผมจึงค่อยเข้าใจว่าหนังโรแมนติกส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงอารัมภบท มันคือตอน Pilot ของซีรี่ส์เรื่องยาวเท่านั้น ^_^

ความรักก็เหมือนกุหลาบ ที่มาพร้อมดอกงามๆ และหนามแหลมๆ ถ้าจับไม่ดีก็หล่นหาย แต่ถ้ากำแน่นไป หนามก็แทงทิ่มมือ…

ถึงตรงนี้ ผมก็อยากรู้ว่า เจสซี่กับเซลีน จะเอาเรื่องอะไรมาคุยกันในการพบเจอหนนี้ … เนื้อความและทัศนคติของพวกเขา จะยังเหมือนเมื่อ 9 ปีก่อนไหม

Before Sunset เล่าเรื่องราว 9 ปีต่อมา หลังจากที่เจสซี่ (Ethan Hawke) กับเซลีน (Julie Delpy) ใช้เวลาด้วยกันที่เวียนนาและนัดหมายว่าพวกเขาจะกลับมาเจอกันในอีก 6 เดือนให้หลัง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ได้พบกันตามนัด จนกระทั่งวันนี้ (ในหนัง) พวกเขาถึงมีโอกาสได้มาคุยกันอีกครั้ง

หนังยาวราวๆ 80 นาทีครับ มาในสไตล์เดิมคือ 2 คนเดินไปคุยไป โลเกชั่นเปลี่ยนมาเป็นปารีสที่ซึ่งเซลีนอาศัยอยู่ ส่วนเจสซี่ตอนนี้ก็เป็นนักเขียนที่กำลังดังจากหนังสือเล่มล่าสุด ที่เขาเอาเรื่อง “คืนนั้น” บอกเล่าออกมาเป็นตัวอักษร

ผมยังคงเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ครับ Hawke และ Delpy คือเจสซี่และเซลีนคนเก่าที่เติบโตขึ้นตามประสบการณ์ชีวิตที่ได้พบเจอ ในช่วงแรกของบทสนทนาพวกเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระตามประสา ซึ่งมุมคิดของพวกเขาก็ยังมีอะไรให้คิดตามเช่นเคยครับ ไม่ว่าจะเรื่องความปรารถนาของคน, ธรรมชาติของความผิดหวัง หรือสังคมโลกจริงๆ ที่ไม่เป็นดั่งใจเราหวัง

แต่ความน่าสนใจจริงๆ คือบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาครับ ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน (มีแฟนไหม? แฟนเป็นไง? มีความสุขไหม?) รวมถึงความรู้สึกที่เขายังมีต่อกัน อะไรเหล่านี้คือของดีที่ผมชอบมากๆ ใน 2 แง่มุม

แง่มุมแรก คือ ชอบใจที่ได้รู้ครับว่าแท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกกันอย่างไร รักกันไหม หรือลืมกันแล้ว? มันคือสิ่งที่ติ่งภาคแรกอย่างผมใคร่รู้อย่างยิ่ง

แง่มุมที่ 2 คือ ชอบในแง่ของพัฒนาการตัวละคร เพราะคราวนี้พวกเขาไม่ใช่ 2 หนุ่มสาวที่ยังสนุกกับความง่ายของชีวิต หรือยังเฝ้าฝันว่าในอนาคตฉันจะเจอสิ่งนั้น ฉันจะได้สิ่งนี้อีกต่อไป

เพราะพวกเขา “ใช้ชีวิตในโลกจริงๆ” กันมาแล้ว พวกเขาเข้าใจแล้วว่าชีวิตคนนั้น ไม่ได้มีแต่ความรักสวยๆ ชีวิตชิลๆ หรือความฝันหวานๆ

แต่ชีวิตคือสิ่งที่มีทั้งวันดีๆ และนาทีห่วยๆ ผสมปนเปกัน บางครั้งเราเลือกได้ บางครั้งมันก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว หรือบางทีเราก็ทำได้แค่ทำใจรับผลที่เกิดจากการตัดสินใจ “ที่เราคิดว่าดีสุดๆ แล้ว” นั่นเอง

ณ ภาพที่ผมเห็นตรงหน้า เจสซี่และเซลีนต่างก็เติบโต สิ่งที่พวกเขาคุยกันอาจฝันน้อยลง และปรัชญาเบาบางลง… แต่มัน “จริง” มากขึ้น

คนเราจะเอา “ความฝัน” มาคุยกันได้นานสักแค่ไหน หาก “ความจริง” กำลังแยงตาอยู่ตรงหน้าเรา

เจสซี่กับเซลีนคุยเรื่องโน่นนี่ได้พักหนึ่ง และแม้พวกเขาจะพยายามเลี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาที่จะไม่คุยถึงเรื่องคืนนั้น (รวมถึงเรื่องที่สืบเนื่องจากคืนนั้น) แต่มันก็หนีกันได้ไม่นานครับ สุดท้ายต่างคนต่างก็เอ่ยออกมาเคล้าคราบน้ำตาและอารมณ์

… เรื่องราวในครึ่งหลัง ผมว่ามันเรียบง่าย ปรุงน้อย แต่อร่อยจิต

ผมนั่งดูจนถึงนาทีสุดท้าย เรื่องราวจบลงอย่างค้างคา ทิ้งให้เราจินตนาการต่อว่าชีวิตของพวกเขาจะไปทางไหน? อะไรที่พวกเขาจะเลือกหลังนั้น? เป็นฉากจบที่ง่าย และอาจจะไม่ได้ทรงพลัง แต่มันมีความหมาย

ตอนผมเอาแผ่นไปคืนเจ้าหน้าที่ ผมคิดว่า ถ้าผมดูหนังเรื่องนี้ตอนยังไม่มีแฟน ผมจะรู้สึกอย่างไร? ผมจะเข้าใจหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักแค่ไหน?… เรื่องนั้น ผมคงไม่มีวันรู้

ผมเดินขึ้นจากหอสมุด แล้วตรงไปยืนดูแม่น้ำที่ซึ่งระลอกคลื่นไม่เคยหยุดพัก มันกว้างใหญ่ มันอยู่ตรงหน้า และเราอาจไม่เข้าใจมันทั้งหมด

คงไม่ต่างจากชีวิตและความรัก ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย บางสิ่งเราเคยพบพานผ่านมันมาแล้ว เราเลยเข้าใจ แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ต่อให้เราอยู่กับมันมานานๆ เราก็ยังคงต้องเรียนรู้ต่อไปไม่มีวันจบสิ้น

การมีใครให้รัก อาจไม่ได้ทำให้เรารู้จักความรักทะลุปรุโปร่งมากขึ้น แต่อย่างน้อยเราก็จะได้เข้าใจว่า ความรักของเราคือสิ่งที่เราเป็นผู้นิยามมัน เราอาจนิยามมันสวยงามยามใฝ่ฝันถึง แต่เราก็อาจนิยามมันด้วยสีหม่นมืด หากเกิดความผิดหวัง

และหลายครั้ง การนิยามมัน ก็เป็นการกำหนดทิศทางแห่งรักโดยที่เราไม่รู้ตัว

… ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ที่ริมน้ำ ดูระลอกคลื่น เหม่อไปฝั่งตรงข้าม ใต้ฟ้าสีคราม สัมผัสถึงคนที่เดินผ่านไปมา รวมถึงคนอีกมากหลายที่ยังอยู่ในชั้นใต้ดินของหอสมุดที่ผมเพิ่งจากมา

ผมอยู่ตรงนี้ รอเวลาเจอคนที่ผมหมายจะร่วมชีวิตด้วย… น่าจะอีก 4 ชั่วโมงกว่าเธอจะเสร็จธุระ…

ดูเหมือนผมต้องยืนตรงนั้นนานอยู่นะครับ… แต่จริงๆ ก็ไม่หรอก

เพราะผมเคยรอมานานกว่านี้… กว่าจะมีคนที่รัก ^_^

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกร็ดน่าสนใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้

+ ร้านหนังสือที่เจสซี่ไปให้สัมภาษณ์คือร้าน Shakespeare & Company ครับ

+ ชายและหญิงชราที่เซลีนทักทายตรงลานหน้าอพาร์ตเมนท์คือพ่อแม่ตัวจริงของ Delpy เอง (Albert Delpy และ Marie Pillet)

+ เพลง A Waltz For A Night ที่เซลีนร้องในตอนท้ายของหนังนั้น Delpy แต่งเองเลยนะครับ

+ ฉาก Long Take ที่ยาวที่สุดในหนังกินเวลาทั้งสิ้น 11 นาที

+ ในหนังเจสซี่เล่าว่าเขาแต่งงานกับภรรยาเนื่องจากเธอท้อง ก่อนจะลงเอยด้วยชีวิตคู่ที่ไม่ค่อยดีนัก และเขาเองก็ทำท่าว่าอาจจะแยกทางกับเธอ ซึ่งปรากฏว่าชีวิตคู่จริงๆ ในช่วงนั้นของ Hawke กับ Uma Thurman ก็กำลังไปได้ไม่สวยนัก

และในที่สุดพวกเขาก็แยกทางกันในเดือนกรกฎาคม ปี 2004 (ไม่นานหลังจากหนังออกฉาย)

+ ว่ากันว่าตอนทำ Before Sunrise ตัว Hawke และ Delpy มีส่วนในการเขียนบท (หรือด้นบท) ค่อนข้างมาก แต่พวกเขากลับไม่ได้มีชื่อในเครดิต จึงทำให้ Delpy เสียความรู้สึกอยู่บ้าง ทำให้พอมาภาคนี้ Linklater จัดเต็มใส่ชื่อพวกเขาลงไปจนครบ

+ หนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม แต่ปีนั้น Sideways ได้รางวัลไปครับ