ค้นหาหนัง

Before the Devil Knows You're Dead

Before the Devil Knows You're Dead
เรื่องย่อ : Before the Devil Knows You're Dead

เรื่องราวของสองพี่น้องที่ต้องการเงินอย่างเร่งด่วน พี่ชาย Andy นักธุรกิจที่ดูจะประสบความสำเร็จแต่ต้องการเงินสักก้อนเพื่อที่ตนและคนรัก (Marisa Tomei) จะได้เดินทางไปทำตามสิ่งที่ได้ฝันกันไว้ ส่วนน้องชาย Hank เป็นพวกล้มเหลวในชีวิต ถังแตก และต้องการเงินเพื่อนำไปปรนเปรอลูกสาวของตน แม้จะต่างในจุดประสงค์ แต่เมื่อ “เงินสักก้อน” คือสิ่งที่พวกเขาต้องการเหมือนกัน สองพี่น้องจึงร่วมมือกันปล้นร้านเพชรของพ่อตัวเอง โดยที่ทั้งคู่ได้วางแผนที่พวกเขาเชื่อว่าจะรัดกุมและปลอดภัยจนไม่มีใครได้รับผลกระทบเลย...

IMDB : tt0292963

คะแนน : 10



เรื่องราวของสองพี่น้อง Andy (Phillip Seymour Hoffman) และ Hank (Ethan Hawke) ที่ต้องการเงินอย่างเร่งด่วน พี่ชาย Andy นักธุรกิจที่ดูจะประสบความสำเร็จแต่ต้องการเงินสักก้อนเพื่อที่ตนและคนรัก (Marisa Tomei) จะได้เดินทางไปทำตามสิ่งที่ได้ฝันกันไว้ ส่วนน้องชาย Hank เป็นพวกล้มเหลวในชีวิต ถังแตก และต้องการเงินเพื่อนำไปปรนเปรอลูกสาวของตน แม้จะต่างในจุดประสงค์ แต่เมื่อ “เงินสักก้อน” คือสิ่งที่พวกเขาต้องการเหมือนกัน สองพี่น้องจึงร่วมมือกันปล้นร้านเพชรของพ่อตัวเอง โดยที่ทั้งคู่ได้วางแผนที่พวกเขาเชื่อว่าจะรัดกุมและปลอดภัยจนไม่มีใครได้รับผลกระทบเลย... 

 

หนังดราม่าหนักหน่วง (อย่างมาก) ชื่อยาวจากผู้กำกับระดับปรมาจารย์ Sidney Lumet เรื่องนี้ บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด โดยเฉพาะกลุ่มนักแสดงหลักที่แสดงได้อย่างแสนจะทรงพลัง ความกดดัน ความกลัว ความเสียใจที่ต้องของตัวละครแต่ละตัวที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นๆ ทำเอาผมแทบจะทนดูไม่ได้ จนเมื่อถึง Climax ระเบิดเวลาที่อยู่ในใจของตัวละครทุกตัวก็ระเบิดออกมา...ปลดปล่อยความคลั่งแค้นในใจพวกเขาออกมา มันสุดๆ มากจนทำเอาผมนึกว่าพวกเขาจะระเบิดออกโผละ ออกมาจริงๆ (ขนาดนั้น) ไล่มาตั้งแต่ Phillip Seymour Hoffman ในบทพี่ชายนักธุรกิจมาดมั่น, Ethan Hawke ในบทน้องชายผู้ล้มเหลวในทุกด้าน, Marisa Tomei กับบทแฟนสาวของ Andy ที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างแย่ลงจนถึงที่สุด และโดยเฉพาะคนที่ผมชอบมากกว่าเพื่อนก็คือ Albert Finney ในบท Charles พ่อของสองพี่น้องที่แสดงความเสียใจและคลั่งแค้นผ่านแววตาได้สุดๆ จนแทบจะทะลักออกมา 

 

“No one was supposed to get hurt.” คือคำโปรยของหนังเรื่องนี้ และเมื่อดูจบ ผมว่ามันก็คงจะเป็นคำโปรยในการใช้ชีวิตของคนเราส่วนมากด้วยเช่นกัน… 

 

คนธรรมดาๆ อย่างเราท่านใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ ทำงานงกๆ ก็มิใช่เพื่ออื่นใดเลย ก็หวังเพียงแค่จะมีชีวิตที่ดีตามอัตภาพ สามารถเลี้ยงดูตัวเอง ครอบครัว และคนรัก ให้เขาได้อยู่อย่างสะดวกสบาย และด้วยการพยายามสร้างชีวิตที่ดีไปเรื่อย เราก็คงไม่คิดว่ามันจะไปทำให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจแต่อย่างใด แต่ในโลกนี้สิ่งที่จะสร้างชีวิตที่สะดวกสบายได้เช่นนั้น จะมากจะน้อย “เงิน” คือเครื่องมือสำคัญในการถางทาง แต่ “เงิน” ดันเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อคนที่ชนะเท่านั้น พวกเราจึงจำต้องวิ่งวุ่นแสวงหาเจ้าเงินนั่น และการวิ่งวุ่นนั้นเองมันก็คือการวิ่งแข่งกับคนอื่น และเมื่อมีการแข่งขันกันเกิดขึ้น มันก็ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ ผู้ที่ได้และผู้ที่เสีย 

 

ทางเราไฟเขียว ทางอื่นก็ต้องไฟแดง หากเราได้งานนี้ ก็ต้องมีคนอื่นที่ไม่ได้ หากเราขายของได้เยอะ ก็ต้องมีคนที่ขายของได้น้อย ในทางกลับกันก็เช่นกัน ดังนั้นเราล้วนเป็นผู้กระทำและเหยื่อของกันและกันเสมอ 

 

หนังไม่ได้ให้คำตอบอะไรแก่คนดูเลย เพราะอะไร? ผมว่าเพราะเราอยู่บนโลกของความเป็นจริง และโลกจริงๆ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าเราอาศัยอยู่ในโลกแห่งความคิดของเราเอง เรื่องการแข่งขันเพื่อเงินบ้าบอเหล่านั้นคงไม่เกิดขึ้น แต่เราทั้งหมดอยู่ในโลกของความจริงที่การแข่งขันมีอยู่จริง อีกทั้งยังเป็นกติกาที่เราทั้งหมดร่วมกันตั้งขึ้นมาเองด้วย 

 

ความโหดร้าย ความรุนแรง ความทุกข์ใจในหนังเรื่องนี้จึงเป็นแค่การสะท้อนวิถีที่โลกนี้กำลังดำเนินไปออกมาเท่านั้น และในเมื่อโลกนี้ไม่มีคำตอบอะไรใหม่ๆ หนังจึงไม่มีคำตอบอะไรเช่นกัน

 

แม้จะต่างกันด้วยดีกรีความรุนแรง แต่ว่ากันตามตรง “เป้าหมาย” ที่พวกเราแข่งกันทำมาหาเงินอยู่ทุกวันนี้จะต่างอะไรกับสองพี่น้องในหนังที่ปล้นพ่อตัวเอง

และแม้จะไม่อยากให้มีใครถูกทำร้ายอย่างที่สุด แต่ก็เกิดการทำร้ายขึ้นมาจนได้ โดยเฉพาะกับครอบครัว เช่นเดียวกับพวกเรา...ทุกวันนี้เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้าคงไม่มีใครตั้งใจมั่นว่าจะออกไปทำร้ายใครๆ ให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ผมว่าเราทำใจได้เลยว่ามีคนได้รับผลกระทบจากการคิด การพูด การทำของเราแน่นอน...ไม่มากก็น้อย