ค้นหาหนัง

Blade Runner 2049 | เบลด รันเนอร์ 2049

Blade Runner 2049 | เบลด รันเนอร์ 2049
เรื่องย่อ : Blade Runner 2049 | เบลด รันเนอร์ 2049

เหตุการณ์มันเกิดหลังจากภาคแรกผ่านมา 30 ปี โลกมนุษย์มีเบลด รันเนอร์ คนใหม่ นามว่า “เค” (Ryan Gosling) เช่นเคย เขาได้รับภารกิจเด็ดหัวพวกมนุษย์เทียมเน็กซัส 8 แต่ดูเหมือนภาคนี้จะไปไกลยิ่งกว่า อาจสงสัยว่าสาวสวยตาโต (Ana de Armas) ที่อยู่กับเขานั้นเป็นใคร ไปดูหนังสิจะได้รู้คำตอบ เมื่อแคลิฟอร์เนียและทั่วโลกเผชิญกับภัยพิบัติทางด้านอาหาร และองค์กรธุรกิจใหญ่มาควบรวมกิจการของไทเรลล์คอร์ป ซึ่งก็นำโดยวอลเลซ (Jared Leto) ชายผู้ซึ่งตาบอดทั้งสองข้าง และเขาก็พยายามจะพัฒนามนุษย์เทียมไปให้ไกลกว่าที่เคย การทำงานของเคนำพาเขาไปพบเบาะแสบางอย่างที่พาเขาเดินออกนอกเส้นทาง และพาเขาไปพบกับ ริค เดคการ์ด (Harrison Ford) เบลด รันเนอร์ คนก่อน

IMDB : tt1856101

คะแนน : 6



จะเรียกว่าเป็นภาคต่อก็คงใช่ เพราะนี่มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ในภาคแรกราว 30 ปี จะเรียกว่าเป็นการเล่าเรื่องโดยใช้วัตถุดิบจากภาคแรกแล้วเล่าซ้ำใหม่ให้โดดเด้งกว่าเดิมก็คงจะใช่อีกเช่นกัน เป็นหนังไซไฟที่โคตรยาว เล่าเนิบแต่ตรึง

ด้วยความยาว 2 ชั่วโมง 43 นาที เป็นใครก็คงต้องบอกว่าหนังยาวมาก เป็นหนังไซไฟที่โคตรยาวเรื่องหนึ่งในปีนี้ แถมการเล่าเรื่องของ ‘เบลด รันเนอร์ 2049’ ยังเป็นไปอย่างเนิบช้า ค่อยๆ เล่าไม่รีบร้อน แม้กระนั้น ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าภาคนี้ยังดูไม่น่าง่วงเท่าภาคแรกเมื่อปี 1982 แม้เวอร์ชั่นที่ได้ชมจะเป็น Director’s Cut ก็ตาม

และด้วยความที่ปูพื้นมีพอสมควรจากการชมภาคแรกมาก่อน ทำให้มองเห็นว่าภาคนี้ตั้งใจที่จะเลียนแบบหรือไม่ก็เรียกได้ว่าคารวะภาคแรกอย่างชัดเจน ด้วยแนวทางของเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็แค่บางส่วน เพราะผู้กำกับฯ เล่นเสริมใส่ประเด็นทางปรัชญาให้ยิ่งยวด และแจ่มชัดยิ่งไปกว่าภาคเก่าอีกเป็นเท่าตัว

บางช่วงที่หนังจะเงียบมาก มากจนได้ยินเสียงหายใจของคนข้างๆ แต่สักพักก็จะมีดนตรีมาบิ๊วสร้างความกดดัน หลายหนที่ก็ไม่ได้มีดนตรีอะไรแต่ก็ชวนให้กดดันได้ แต่ด้วยงานภาพที่แจ่ม ให้มุมมองที่ชวนให้อยากเห็นภาพส่วนที่เหลือ แล้วภาพก็แพนไปอย่างที่ใจเราต้องการ ทุกอย่างมันดูเข้ากันดีไปหมด

นักแสดงสาวๆ คือสวยกันทุกคน ไล่ไปตั้งแต่สาวคิวบาตาโตอย่าง Ana de Armas เธอมีเสน่ห์ชวนมองจนเห็นด้วยว่าควรจะมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ ตามด้วย Mackenzie Davis สาวสวยที่ยั่วยวนให้เคเคลิ้มไหว แถมยังมีฉากที่แสนฟินฉากนั้นอีก ส่วนอีกคน Sylvia Hoeks เธอเป็นสาวคนที่รับใช้ใกล้ชิดกับวอลเลซ นิ่งแต่ดุใช่ย่อย

จะว่าหนังนานก็ไม่อาจปฏิเสธ หนังเนิบจนอาจหาวไประหว่างดูได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจลดทอนความน่าสนใจของหนังลงไปได้สักนิดเลย

ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งเรื่องราว ตรึงให้เราอยู่กับหนังได้ตลอดจริงๆ ล้ำจินตนาการ งานวิชวลยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบสุดเดือด

สิ่งที่ยังไม่ทิ้งไปจากภาคเก่าก็คือ จินตนาการของเมืองในอนาคตที่ดูหรูหรา ทว่าเต็มไปด้วยประชากรที่มากล้นจนอาคารที่พักอาศัยมีแต่ความแออัด บรรยากาศของเมืองในยามกลางคืนเมื่อมองจากบนท้องฟ้ามันดูอึมครึม

นอกจากนี้ เรายังได้เห็นบรรยากาศนอกเมืองที่กลายเป็นที่เก็บขยะ ช่างรกร้างแตกต่างจากในเมืองหลายเท่านัก ทั้งเมืองถูกโอบล้อมไว้ด้วยกำแพงสูงกั้นน้ำทะเลที่คลื่นโคตรจะรุนแรง แถมยังเป็นอนาคตที่ฝนเทกระหน่ำแทบจะตลอดเวลา

งานสร้างในภาคนี้ไม่ธรรมดา ไหนๆ เราก็สร้างกันในปี 2017 ทั้งที มันช่างดูยิ่งใหญ่ และสมจริง งานวิชวลก็ดีงามไม่แพ้กัน การเลือกใช้สีที่แตกต่างกันก็เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ

ในด้านดนตรีประกอบที่ใช้ทั้ง Hans Zimmer (จาก ‘Dunkirk’ และ ‘The Dark Knight’) และ Benjamin Wallfisch (จาก ‘Lights Out’ และ ‘It’) เมื่อชมในโรงที่เสียงดีอย่าง IMAX ทำให้มันดูอึกทึก ยิ่งใหญ่ และกดดันไปในคราวเดียวกัน คงต้องบอกว่าประสบการณ์ในโรงอย่าง IMAX3D ถือว่าเหมาะสมกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมาก

นี่ไม่ใช่แค่หนังไซไฟของนักสืบตำรวจผู้ต้องค้นหาและกำจัดมนุษย์เทียมผู้คิดต่อต้านอีกแล้ว แต่มันคือหนังไซไฟของเบลด รันเนอร์ ที่ผู้ตามหาตัวเอง และการต่อสู้เพื่อจุดยืนในแบบที่ต่างยึดถือว่าดี หนังมุ่งเน้นปรัชญาของการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้หมายถึงจำเพาะมนุษย์เท่านั้น และหนังส่งมันออกมาอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาคแรกเสียอีก

ภายใต้ภาพที่ฉาบไว้ด้วยการเดินเรื่องแบบนิ่งๆ สลับกับฉากแอคชั่นที่มาเป็นบางช่วง นี่จึงไม่ใช่หนังแอคชั่นที่ผู้ชมหวังว่าจะเข้ามาลุ้นสนุกเอามันแต่เพียงแค่นั้น มันยังเป็นหนังที่ปล่อยให้เราได้ค้นหาและคิดตามว่านิยามของบางสิ่งนั้นเป็นอย่างไร

มนุษย์อย่างพวกเราเกิดมาความทรงจำที่เป็นของจริงมาโดยตลอด เพราะโลกนี้ยังไม่มีมนุษย์ คงไม่มีมนุษย์ตนไหนในตอนนี้ที่เฝ้าถามตัวเองว่าที่ผ่านมามันคือของจริงหรือเปล่า

หนังเล่าเก่งขนาดที่ทำให้คนดูต้องอึ้งไม่แพ้กับตัวละคร เมื่อทุกอย่างที่เราเข้าใจมาตลอดกลับเป็นเพียงแค่สิ่งที่หนังอยากจะให้เราเข้าใจผิด

ถ้าถามว่า จำเป็นไหมที่ต้องดูภาคแรก (‘Blade Runner’ ปี 1982) มาก่อน ก็คงตอบได้ว่า “ไม่จำเป็น”​ เพราะเห็นคนที่ไม่ได้ดูมาก็ยังเข้าใจเรื่องราวภาคนี้ได้อยู่ แต่หลังจากดูหนังจบ ตอบได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคุณได้ดูภาคเก่ามาก่อน จะเข้าใจเหตุการณ์ในอดีตของตัวละครมากกว่า ซึ่งจะทำให้อินกับภาคนี้ได้มากกว่านั่นเอง