ค้นหาหนัง

Boychoir : จังหวะนี้ใจสั่งมา

Boychoir : จังหวะนี้ใจสั่งมา
เรื่องย่อ : Boychoir : จังหวะนี้ใจสั่งมา

สเต็ต เด็กกำพร้าวัย 11 ปีที่มีปัญหาและโกรธแค้นจากเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในเท็กซัส จบลงที่โรงเรียนนักร้องประสานเสียงในแถบตะวันออก หลังจากที่แม่เลี้ยงเดี่ยวของเขาเสียชีวิต ออกจากองค์ประกอบของเขาโดยสมบูรณ์ เขาเข้าสู่การต่อสู้ด้วยไหวพริบกับนักร้องประสานเสียงที่มีความต้องการ ซึ่งตระหนักถึงพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กชายคนนี้ในขณะที่เขาผลักดันให้เขาค้นพบหัวใจและจิตวิญญาณที่สร้างสรรค์ของเขาในดนตรี

IMDB : tt3302706

คะแนน : 8



ผมคงร่ายไม่ยาวเท่าไรสำหรับ Boychoir ซึ่งจริงๆ ก็ถือว่าเป็นหนังว่าด้วยดนตรีที่ดีเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ เพียงแต่มันอาจยังไม่ตรงใจผมในหลายๆ ส่วน

ดังนั้นสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้ไม่ได้เป็นการระบุหรือตีตราคุณค่าของหนังนะครับ แต่มันจะเป็นเพียงสิ่งที่ผมคิดและมุมที่ผมมองเท่านั้นเอง ส่วนคุณค่าของหนังจะมากน้อยเพียงไร สำหรับแต่ละคนแล้ว ย่อมต้องลองรับชมดูแล้วตัดสินพิจารณาด้วยตนเองครับ ^_^

ปกติผมชอบหนังเพลง หรือหนังอะไรก็ตามที่ว่าด้วยคนสักคน (หรือสักกลุ่ม) ได้รับแรงบันดาลใจจากเสียงดนตรีจนเปลี่ยนชีวิต หรือหนังแนวครูสอนลูกศิษย์ให้พวกเขามีเข็มทิศชีวิตนำทาง แบบนั้นผมยิ่งชอบเลยล่ะครับ

ซึ่งในเบื้องต้น Boychoir ก็มีลักษณะแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่การเล่าเรื่องอาจไม่หวือหวาสักเท่าไร ทำให้ความน่าติดตามไม่มากเท่าที่คิด แต่สำหรับหลายๆ คนอาจชอบเพราะมันดูไม่ปรุงหรือดู “จริง” ดี จุดนี้คงแล้วแต่รสนิยมจริงๆ ครับ

ดาราที่มาแสดงนั้นก็คัดมาดีล่ะครับเสือเตี้ย Dustin Hoffman ยังคงเล่นหนังได้อย่างลื่นไหล รับบทอะไรพี่แกก็เป็นบทนั้นได้อย่างสนิทใจ เช่นเดียวกับ Garrett Wareing ที่รับบท สเตท เด็กวัย 11 ปีที่มีปัญหาด้านอารมณ์ แต่แล้วเขาก็ได้ดนตรีนี่แหละที่ช่วยกลมเกลา รายนี้ก็เล่นได้โอเคเช่นกัน ส่วนดาราสมทบอย่าง Josh Lucas และ Debra Winger ก็เสริมอารมณ์ได้แบบพอเหมาะ

แต่จุดที่ผมรู้สึกยังไม่อินคืออารมณ์ของหนังที่ยังไม่สุด จริงๆ ทิศทางของเรื่องราวนั้นเราพอเดาได้ครับ มันคือเรื่องของเด็กที่บอบช้ำและกำลังหลงทาง แต่แล้วก็ได้ดนตรีมากอบจิตวิญญาณที่แตกสลายให้มารวมกันอีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ ฟื้นฟูจิตใจของตน โดยมีครูคอยแนะนำ ซึ่งตัวคุณครูเองก็ไม่ใช่เทพเจ้ามากจากไหน เขาก็คือปุถุชนที่มีวันเหนื่อย มีวันท้อ มีวันไม่พอใจเหมือนคนอื่นๆ ดังนั้นจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของเรื่องราว แต่การนำเสนอ การเล่าเรื่อง หรือตัวบทเองกลับยังไม่สามารถเล่าให้เราอินไปกับเรื่องราวเหล่านั้นได้แบบเต็มที่

ดูแล้วจริงๆ ก็รู้สึกว่าหนังดีครับ เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นชอบ ไม่เหมือนพวก Mr.Holland’s Opus, Music of the Heart, The Chorus, Billy Elliot หรือกระทั่ง Sister Act 2 ที่คุณภาพของหนังอาจไม่เท่าเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดในแง่ความสนุกเพลินลิ้นแล้ว เรื่องนั้นก็จัดว่าตอบโจทย์บันเทิงได้โอกว่า

ขอย้ำครับว่าผมยังอยากให้ทุกท่านดูหนังเรื่องนี้ เพราะจริงๆ ก็เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง สอนแนะนำให้กับเรารู้จักลุกขึ้นหลังเจอเรื่องเลวร้ายในชีวิต เพียงแต่ในแง่ความลื่นแล้วอาจยังไม่มากเท่านั้นเองครับ