IMDB : tt0108654
คะแนน : 6
จากความสำเร็จระดับเอเชีย ของ “ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ” ส่งให้ หลิวเต๋อหัว พระเอกหนุ่มน้อย (ขณะนั้น) ก้าวขึ้นสู่ความเป็น Super Star ของ เอเชีย กระชากใจสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วเอเชีย รวมไปถึง ประเทศไทย ที่กระแส “ผู้หญิงข้าๆ” รุนแรงทั่วทุกพื้นที่ ด้วยความที่หนังเป็น เมโลดรามา ที่ “โดน” ใจวัยรุ่นใน พ.ศ. นั้นอย่างล้นหลาม ที่เล่าเรื่องราว ความรัก ในเชิง “เทพนิยาย” อย่าง ชายหนุ่มจอมโลดโผน กับ หญิงสาวแสนดีเรียบร้อยในระดับ “คุณหนู” หนังเลือกที่จะจบกระชากอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมและเรียกน้ำตา จากสาว ๆ ได้อย่างมากมายกับการ “ตาย” ของ พี่หลิว มาในภาค 2 นี้หนัง เปลี่ยนเอา ดาราหน้าหยก อย่าง “กัวฟู่เฉิง” เข้ามารับบทพระเอก ส่วนนางเอกยังคงเป็น “อู๋เซียนเหลียน” คนเดิมจากภาคแรก
หนังเปิดเรื่องด้วย ฉากบนท้องถนน ที่นางเอกเดินไปยังร้านขายเสื้อ โดยมีชายหนุ่มร่างเล็ก ท่าทางนักเลง เดินตามคุม และ เร่งนักเองอยู่ทุกขณะ หนังพาเราไปดูนางเอกซื้อเสื้อแล้วเปลี่ยนใส่ทันที ก่อนที่จะพาเราไปรู้จักกับตัวละครอย่าง ตำรวจแก่ ๆ ที่เป็นกลสำคัญ ในหนังตัวหนึ่ง แล้วหนังก็ตอบคำถามที่เราสงสัยในตอนต้นในการที่มีผู้ชาย “คนนั้น” ตามติดนางเอก เพราะ หนังเฉลยให้เห็นว่า นางเอก ประกอบอาชีพอันเก่าแก่ที่สุดในโลก
(ขายตัว) เพื่อต้องการเงินไปช่วยน้องชาย แล้วหนังก็เปิดตัวละครที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ของเรื่อง อย่าง มาเฟีย เจ้าของ สถานบริการ ที่ การ “ตาย” ของเขา ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ตามมา แล้วหนังก็ให้เราได้พบกับ “พระเอก” ในตอนที่นางเอกหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจาก สถานบริการ เนื่องด้วยถูกตามล่าจาก ลูกน้องคนสนิทของ มาเฟีย ที่ป้ายความผิดในการตาย ของหัวหน้าตนให้แก่นางเอก แล้วหลังจากนั้น เรื่องราวก็ ตามรอย “เมโลดรามา” สุด ๆ หนังในภาคนี้มีความแตกต่างจากในภาคที่แล้ว พอสมควร ทั้งในส่วนตัวละคร “พระเอก” ที่มีสถานะแตกต่างกัน เพราะ พระเอกในภาคนี้ เป็นทายาทของมหาเศรษฐี ผู้หนึ่งที่ต้องเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปจากอุบัติเหตุที่พระเอกของเรา อยู่ในเหตุการณ์และไม่อาจช่วยเหลือ “แม่” ได้จนเกิดเป็น “ปม” ความผิดขึ้นในจิตใจ และถูกไล่ออกจากบ้าน ส่วน นางเอก ของเรา เป็นชาวจีนที่หลบหนีมายัง ฮ่องกง ฐานะยากจน และ ต้องการเงินเพื่อนำไปช่วยไถ่ตัวน้องชายออกจากคุก หนังเล่นกับความแตกต่างส่วนนี้สนุกทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อตอนที่พ่อ พระเอก ตัดสินใจ มาเยี่ยมลูกชายแล้วพบกับ นางเอกแทน การให้การยอมรับ นางเอก ของพ่อพระเอก ดูจะ “ง่าย” ตามสูตร แต่ก็ไม่เกินจริงมากมายนัก และ แน่นอนพระเอก ของเราต้องชอบแข่งรถ หนังเดินตามสูตรภาคแรกได้ดี และ น่าตื่นเต้นกว่าด้วยซ้ำในส่วน ของ ฉากแข่งรถ โดยเฉพาะ ฉาก Climax ของเรื่อง ที่เป็นการประลองกันระหว่าง พระเอก และ นักบิดตัวแสบประจำเรื่อง นอกจากนั้น หนังก็ มี ส่วนย่อยในเรื่องราวมิตรภาพของ พระเอกและเพื่อนสนิท ของเขา น่าเสียดายที่ความผูกพันธ์ของตัวละคร 2 ตัวนี้ หนังไม่นำเสนอชัดเจน การไม่กล่าวที่มาที่ไปของทั้งคู่ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ความน่าเชื่อถือในตอนท้าย ที่เกิดการร่วมมือกันของ ทั้งคู่ อ่อนเหตุผลพอสมควร แต่ทางด้าน ความสัมพันธ์ของคู่พระนาง หนังทำได้ดีทีเดียว ด้วยการใช้ “มุขเดิมๆ” อย่างการให้พระเอกเป็นฝ่ายยอมรับนางเอก และนางเอกต้องพิสูจน์ตัวเองในด้าน “ความรัก” หนังขาดฉากซึ้ง ๆ อย่างที่ควรจะมีเช่นที่ในภาคแรกมี แต่หนังก็เลือกที่จะใช้การสื่อด้วยภาพง่าย ๆ ทดแทน และยังผลให้ “ฉากจบ” ทรงพลังมากกว่าภาคแรก และแน่นอน หนังยังเลือกที่จะ “ทำร้าย” ความรู้สึกของผู้ชม และ มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ในภาคนี้ ส่วนที่อ่อนด้อยลงในภาคนี้ นอกจากการสร้างความสัมพันธ์ของตัวละคร และ ฉากซึ้ง ๆ ที่ควรจะมี หนังก็ยังขาด เพลงประกอบที่มีพลังพอที่จะตรึงอารมณ์ของผู้ชมเช่นในภาคแรก ซึ่งน่าเสียดายเพราะ ในงานด้านภาพ หนังทำได้ถึงและสื่ออารมณ์ได้ดีมาก ในส่วนการแสดง “กั่วฟู่เฉิง” แจ้งเกิดได้จากบทบาทนี้ ทำให้เขาเป็น “ดาว” อยู่พักหนึ่ง ส่วน “อู๋เซียนเหลียน” พลิกบทการแสดงจากในภาคแรกพอสมควร ด้วยบทที่แสดงอารมณ์ที่รุนแรงและลึกกว่า แต่ก็หนีไม่พ้นต่อการโดนเปรียบเทียบต่อการแสดงในภาคนี้กับภาคแรก ผู้แสดงคนอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่กันได้ดีตามมาตรฐาน แต่ หนังก็พลาดเล็ก ๆ ที่บทของ ตำรวจชรา กับ พระเอก ดูจะเข้าอกเข้าใจกันง่ายไป ทั้ง ๆ ที่ตามล่าตามล้างกันทั้งเรื่อง แต่เมื่อถึง ฉากจบ ภาพของหนัง ยังคงตรึงอารมณ์ผู้ชมและเรียกน้ำตาจากสาว ๆ ได้อยู่ดี