IMDB : tt0381061
คะแนน : 8
หลังจากแสดงบทพยัคฆ์ร้าย 007 ไป 4 ตอน Pierce Brosnan ประกาศชัดว่าเขาจะวางมือจากบทบอนด์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าเขาอิ่มตัวและรู้สึกแก่เกินไป (ขณะนั้นเขาก็อายุได้ 50 ปีพอดี)
นับแต่นาทีนั้น 2 ผู้สร้างอย่าง Michael G. Wilson และ Barbara Broccoli ก็ต้องเจอกับความรับผิดชอบครั้งใหญ่ในการหาบอนด์คนใหม่ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น การหาบอนด์ใหม่คืองานที่หินยิ่งกว่าการทำหนังหลายๆ ภาคเสียอีก
ดาราที่พวกเขาเล็งไว้ก็มี Goran Višnjić (Practical Magic และ Elektra) และ Daniel Craig (Layercake และ Lara Croft: Tomb Raider) ซึ่งทั้งสองมาคัดตัวในวันเดียวกันครับ แต่ Višnjić พลาดบทไปเนื่องจากเขาไม่สันทัดในการพูดด้วยสำเนียงอังกฤษ (เนื่องจากบอนด์คือสายลับอังกฤษ สำเนียงจึงสำคัญมาก) ในขณะที่ Craig มีภาษีดีกว่าครับ เพราะเขาเป็นอังกฤษแท้ ทั้งการพูดจาและท่าทางนับว่าผ่านเกณฑ์สบายๆ
แต่ในตอนแรก Craig บอกปฏิเสธไม่รับบทนี้ เนื่องจากเขารู้สึกว่าหนังบอนด์มีสูตรสำเร็จที่แฟนๆ คาดหวังและทางเดียวที่จะทำให้แฟนๆ พอใจได้ก็คือต้องเล่นตามสูตรนั้น ทว่าใจเขาอยากจะแสดงบทบอนด์แบบที่มีเลือดมีเนื้อ มีมิติความลึกมากกว่า ทำให้เขาตัดสินใจบอกผ่านบทบอนด์ไป
การควานหาตัวบอนด์จึงดำเนินต่อ คนต่อมาคือ Karl Urban แต่รายนี้ก็ไม่มีเวลามาอ่านบทคัดตัว, Henry Cavill ที่ตอนนี้ได้เป็นพี่ซุปเวอร์ชั่นใหม่ไปแล้ว ก็เคยถูกหมายตา แต่ตอนนั้นเขาอายุแค่ 22 ซึ่งถือว่าน้อยไปสำหรับบทบอนด์ และยังมีการทาบทาม Sam Worthington (Avatar) มาอยู่ในลิสต์อีกราย
แต่ยังไงทั้ง Wilson และ Broccoli ก็อยากให้ Craig มารับบทบอนด์กว่าใครๆ โดยที่ในใจลึกๆ ของพวกเขานั้นก็มีแนวคิดว่าจะยกเครื่องปรับเปลี่ยนขนบเก่าๆ ของบอนด์ออก แล้วใส่อะไรที่สดใหม่ลงไปแทน เพราะปัญหาหนึ่งที่พวกเขาประสบมาตลอดในการทำบอนด์ภาคหลังๆ คือ การจะใส่อะไรใหม่ๆ ลงไปในสูตรหนังบอนด์บางครั้งก็ทำไม่ได้ หรือถ้าทำได้ก็ไม่เนียน อีกทั้งการยึดติดกับสูตรมากเกินไปก็น่าจะทำให้บอนด์ถึงทางตันแบบไม่มีทางเลี่ยงในสักวันหนึ่ง อย่างบอนด์ตอนก่อนหน้านี้ (Die Another Day ) ก็ชักจะส่อแววถึงทางตันที่ว่า
เมื่อผู้สร้างคิดเช่นนี้ก็ตรงกับที่ Craig เคยบอกไว้ว่าอยากให้บอนด์มีมิติ มีการลงลึกทางอารมณ์มากขึ้น และควรมีอิสระจากสูตรสำเร็จดั้งเดิมเสียที อีหรอบนี้สิ่งที่เขาต้องการก็ตรงกับ 2 ผู้สร้างพอดี ทำให้พอมีการเจรจาจูนแนวทางกันอีกครั้ง ก็เลยได้ข้อสรุปในที่สุด
แล้วชื่อของ Craig ก็ถูกประกาศออกมาท่ามกลางแรงคัดค้านจากทั่วสารทิศโดยเฉพาะแฟนหนังบอนด์ที่คิดเสมอว่าบอนด์ต้องหล่อ Dark, Tall and Handsome บางคนก็ออกมาประกาศชัดว่าไม่ชอบบอนด์คนนี้ ที่หนักหน่อยก็คือมีการตั้งเว็บ danielcraigisnotbond.com ขึ้นมาต่อต้านแบบสุดกำลัง หวังให้ผู้สร้างทบทวนการตัดสินใจใหม่
อย่าว่างั้นงี้เลยครับ… ผมเองก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน อาจไม่ถึงกับค้านหัวชนฝา แต่ใจมันกระซิบมาว่าบอนด์น่าจะมีเสน่ห์กว่านี้ หล่อกว่านี้นี่หน่า
แต่พอมาถึงตอนนี้ ก็บอกได้เต็มปากว่ากลับใจมาชื่นชม Craig และหนังบอนด์แนวทางใหม่เป็นที่เรียบร้อย อย่างวันนี้ก่อนรีวิวผมก็ดูซ้ำอีกรอบ ก็พบว่าความชอบไม่ได้ลดลงเลย และยังอยากจะปรบมือให้ทีมงานด้วยที่สร้างสรรค์บอนด์แนวใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังรู้จักปรับทิศทางทั้งโทนหนัง เนื้อหา และการเดินเรื่องให้เหมาะกับบุคลิกท่าทางของบอนด์คนใหม่คนนี้ได้เป็นผลสำเร็จ
ที่บอกว่าปรับได้เหมาะก็เพราะทีมงานไม่ดันทุรังยัด Craig ลงไปสูตรบอนด์แบบเดิมๆ ที่กระหน่ำบู๊, กระหน่ำเท่ห์, สาวตรึม, เสน่ห์บอนด์ที่ต้องมีล้นเหลือ, ตัวร้ายที่มีฐานทัพยักษ์ๆ ให้บอนด์ถล่ม, อาวุธไฮเทคพิสดาร ฯลฯ อะไรเหล่านั้นถูกลดลงไปหมดครับ แล้วหนังก็เลือกที่จะพาคนดูไปรู้จักกับบอนด์คนใหม่ แนวใหม่ และในมุมใหม่
ดูแล้วรู้สึกว่าทีมงานใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ ครับ คงเพราะโดนปรามาสไว้เยอะ โดยเฉพาะเรื่องความเหมาะของ Craig ซึ่งพวกเขาคงตระหนักว่าเรื่องนี้เปลี่ยนใจคนได้ยาก เลยพยายามจัดเต็มในด้านอื่นๆ เพื่อชดเชยด้านลบที่คนมอง Craig ผลที่ได้ก็คือ Casino Royale นั้นมีคิวบู๊ที่ถึงใจมากๆ เอาแค่ฉากบู๊ลากยาวตอนต้น ตามด้วยการไล่ล่าสุดระทึกในสนามบิน ไหนจะไคลแม็กซ์ลุ้นๆ ที่เวนิสอีก ทุกฉากนั้นทำออกมาได้มันส์มากๆ ซึ่งก็ต้องขอชม Martin Campbell ผู้กำกับประจำภาคนี้ (ที่เคยทำ Goldeneye มาก่อน) เขาก็คุมรายละเอียดทั้งหลายนี้อยู่หมัด อันที่จริงเขาก็ไว้ใจได้เสมอล่ะครับโดยเฉพาะกับช็อตบู๊อลังการ การเล่าเรื่องว่องไวแต่ไม่สับสน เรียกว่าไม่มีฉากใดที่ใส่ลงมาแบบงั้นๆ ทว่าทุกฉากจะมีความสำคัญต่อเรื่องราวไม่มากกก็น้อย และที่ไม่ชมไม่้ได้คือคความสามารถในการจับภาพมุมกว้างให้ออกมาน่าสนใจได้
ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมแทรกอารมณ์ขันลงไป พร้อมกับเดินเรื่องฉับไวไม่เยิ่นเย้อ และที่ลืมไม่ได้คือการใส่ของใหม่ (แต่เลือกได้เหมาะ) ลงไปอันทำให้บอนด์ภาคนี้มีเอกลักษณ์อีกทั้งซีนเฉพาะตัว ที่หากใครพูดถึงแล้วจะต้องนึกถึง Casino Royale ขึ้นมาทันที เช่น ฉากเกาไข่ในตำนานนั้นเป็นต้น
ด้านบทก็เป็นหน้าที่ของ Neal Purvis และ Robert Wade ที่จับมือกันสร้างสรรค์บทหนังบอนด์มาตั้งแต่ตอน The World is Not Enough โดยได้ Paul Haggis มือเขียนบทแห่ง Million Dollar Baby, Crash, Flags of Our Fathers และ Letters from Iwo Jima มาช่วยเกลาอีกครั้ง
บทที่พวกเขาทำออกมาถือว่ายอดครับ เนื้อหาแน่น ทิ้งปมพอเหมาะ เรื่องราวมีเหตุผลและชวนติดตาม และที่ลืมไม่ได้คือการผูกเรื่องแบบที่ทำให้เรารู้จักบอนด์คนใหม่มากขึ้นๆ ทุกนาทีที่ได้ดูพี่บอนด์บนจอ
เนื้อเรื่องของบอนด์ภาคนี้ก็อิงจากนิยายตอนแรกสุดของบอนด์ ว่าด้วยภารกิจการต่อกรกับอาชญากรตัวเอ้นามว่า เลอ ชีฟ (Mads Mikkelsen) นักพนันชั้นเซียนที่คอยดูแลฟอกเงินผิดกฎหมายให้กับเหล่าร้ายและคนในองค์กรอันลึกลับของเขาเอง และแน่นอนครับว่าบอนด์มีหน้าที่สยบมัน โดยแผนคือการต้อนให้เลอ ชีฟจนมุมในวงไพ่ จนต้องหันมาพึ่งพาทางการเพื่อเอาตัวรอด แล้วเมื่อนั้นทางการจะได้สามารถสอบสวนเค้นข้อมูลจากเลอ ชีฟมาใช้ประโยชน์ได้
พล็อตนับว่าน่าสนใจครับ เมื่อมาบวกกับการเดินเรื่องฉับไวก็ยิ่งทำให้จังหวะต่างๆ ของหนังมีพลังน่าติดตาม ไม่มีช่วงเอื่อยเฉื่อยให้คนดูรู้สึกเบื่อ
ครับ พล็อตมีความแน่น มีจุดเด่นที่ต่างจากภาคก่อนๆ คิวบูู๊ก็ดี เดินเรื่องไว อารมณ์ขันมาพอดีๆ ดนตรีเร้าใจโดย David Arnold และโลเกชั่นที่เลือกมาก็สวยแปลกตาทั้งนั้น (โดยเฉพาะมอนเตเนโกรที่สวยงามแท้ๆ) ส่วนต่างๆ ของหนังออกมาเยี่ยม ถ้าจะให้คะแนนก็ไม่ต่ำกว่า 8 หรือ 9 เต็ม 10 ในทุกๆ ด้าน
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าทีมงานใส่ใจทุกส่วนก็เพื่อช่วยดีงความสนใจคนดูด้วยการโชว์จุดเด่น และลดโอกาสที่คนดูจะสนใจไปยังจุดที่น่าครหาที่สุดสำหรับใครหลายคน… นั่นคือ Daniel Craig
กระนั้น Craig ก็ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นภาระต่อหนังแต่อย่างใดเลยครับ เขาและผู้สร้างก็มีความตั้งใจเต็มเปี่ยมเหมือนกัน จนในที่สุดความกดดันทั้งหลาย ก็ทำให้ “บอนด์ชั้นเยี่ยม เวอร์ชั่นเรี่ยมเร้ไม่เหมือนใคร” ถือกำเนิดขึ้นมาจนได้
สิ่งที่อยากปรบมือให้ทีมงานไม่ว่าจะผู้สร้าง คนเขียนบท หรือผู้กำกับก็ตาม พวกเขาตระหนักดีว่าภาพที่คนดูส่วนใหญ่รู้สึกเกี่ยวกับ Craig นั่นก็คือ เขาไม่ได้หล่อเหลากำยำ ไม่ได้ชวนฝันสำหรับสาวๆ และไม่ได้ดูขลังมากมายสำหรับหนุ่มๆ ในที่สุดพวกเขาก็เลยช่วยกันพัฒนาคาแรคเตอร์ของบอนด์ให้เหมาะกับ Craig
ผมชอบบอนด์ที่ทีมงานตีโจทย์ออกมานะครับ เราจะได้เห็นเจมส์ บอนด์คนใหม่ที่ดูองอาจ มั่นใจในตนเองตลอดเวลาไม่ว่าจะวิธีพูด วิธีมอง วิธีเดิน วิธีคิด ทำอะไรมักโชว์ความเก่งบ่อยๆ จนดูเผินๆ เหมือนบอนด์คนนี้จะมาแนวเท่ห์แบบเดียวกับบอนด์เจ้าอื่นๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งหนังก็เผยว่าแท้จริงแล้วสายลับคนนี้มีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใน ไม่ว่าจะความกังวล (เกี่ยวกับภาระหน้าที่รหัส 00 ที่เพิ่งได้รับ), จุดอ่อนที่ตนเองมี หรือปมในใจ (เรื่องพ่อแม่) ฯลฯ ว่าง่ายๆ คือความมั่นใจที่แสดงอยู่ตลอดนั้นคือเกราะป้องกันตัวชนิดหนึ่ง
ครึ่งแรกบอนด์ดูมั่นใจมากครับ กับผู้หญิงบอนด์เดินไปสนทนาอย่างมีมาด กับผู้ร้ายบอนด์ตอกกลับจนหน้าแตกได้ทุกรายไป หรือแม้แต่กับ M (Judi Dench) บอนด์ก็สามารถรับมือเจ้านายคนนี้ได้ในทุกสถานการณ์
แต่แล้วพี่ท่านก็ออกอาการเกราะแตกเมื่อได้เจอกับ เวสเปอร์ ลินน์ (Eva Green) สาวบอนด์ประจำตอนที่กลายเป็นสาวคนแรก ที่เจาะใจจนเกราะป้องกันที่ชื่อ “ความมั่นใจ” ของบอนด์เริ่มปริ
ด้วยการตีความแนวทางนี้ ทำให้บอนด์ของเรายังคงมีมุมเท่ห์ มุมเก๋าให้เราได้เห็นและสะใจตามสไตล์บอนด์รุ่นเก่า ขณะเดียวกันก็แทรกปมดราม่าเพื่อเพิ่มมิติความลึกให้กับพ่อพยัคฆ์ร้ายคนนี้ เรียกว่าจากคนเก่งระดับเทพ ก็กลายมาเป็นคนเก่งที่ไม่ได้เก่งไปหมดทุกด้าน มีผิดบ้างพลาดบ้างตามสไตล์สายลับมือใหม่ที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม ยังคงทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแม้ตายก็ไม่หวั่น และที่สำคัญคือ ทำทุกอย่างโดยไม่ยอมทรยศความคิดและจิตใจของตนเอง
ถึงจุดนี้ก็อยากคารวะพี่ Craig สักครั้งครับ เขาทำได้จริงๆ นำพาบอนด์แบบใหม่เข้ามา ไม่ใช่บอนด์ที่แค่เท่ห์มาเท่ห์ไป แต่เป็นบอนด์ที่มีเลือดเนื้อและหัวใจอยู่ครบ ซึ่งพี่แกก็เล่นได้ดีครับ ตอนขี้เล่นก็พอเหมาะ ตอนจริงจังก็มีแววตานักฆ่าโผล่ขึ้นมาได้
ในสายตาผม บอนด์แบบ Craig ไม่ใช่คนหล่อ แต่เป็นคนสมาร์ทจนเรารู้สึกถึงความหล่อในใจเขาได้ (ประมาณสุดเขตสเลดเป็ดนั่นแหละครับ 555)
เมื่อบอนด์ไปได้ดี ส่วนประกอบทำได้เยี่ยม หนังเลยลอยลำครับ ไหนจะได้ดาราร่วมจอที่มีฝีมือทั้งสิ้น ทั้ง Green, Dench, Mikkelsen แล้วก็มี Jeffrey Wright มาสวมวิญญาณ เฟลิกซ์ ไลเตอร์ CIA พันธมิตรของบอนด์ และ Giancarlo Giannini มารับบทเรเน่ แมททิส เจ้าที่ที่ร่วมงานกับบอนด์ที่มอนเตเนโกร เรียกว่ามือดีล้นจอจริงๆ
แต่ยังไม่หมดครับ Casino Royale ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากๆ นั่นคือ เกมโป๊กเกอร์ (ถัดจากนี้จะมีสปอยล์นะครับ ถ้าไม่อยากทราบแนะนำให้หยุดอ่านตรงนี้ครับ)
เป็นหนึ่งในบอนด์ไม่กี่ตอนที่การต่อสู้ระหว่างบอนด์กับผู้ร้ายไม่ได้ใช้กำลัง แต่ใช้สมองประลองปัญญาและความอดทน ในแง่ของการเล่นไพ่ในหนังนั้นทำออกมาได้ลุ้นดีครับ แม้ความหวือหวาในการนำเสนออาจไม่เท่าหนังจีนแนวไพ่ในดวงใจผมอย่างคนตัดคน แต่ก็ถือว่าทำได้ดีไม่น้อยเหมือนกัน
จังหวะการต่อสู้บนโต๊ะพนันก็สร้างความสนุกให้หนังได้ครับ ดูว่าใครจะมาไม้ไหน ใครจะลักไก่ ใครจะกวนสมาธิใคร ใครจะหยั่งเชิงด้วยวิธีไหนเป็นอะไรที่น่าติดตามดี
อย่างตอนบอนด์แกหมอบไพ่ในตาแรกเพื่อลองหยั่งเชิงเลอ ชีฟ จริงๆ ในตานั้นคนที่นำและได้ซีนบนโต๊ะคือเลอ ชีฟ แต่บอนด์กลับแย่งซีนคืนมาแบบดื้อๆ ด้วยการสั่งเครื่องดื่มสูตรที่พี่แกคิดเอง เล่นเอาคนส่วนใหญ่หันมาสั่งตามกันเป็นแถบ ซึ่งเหมือนจะไม่มีใครรู้ตัวเลยว่ายามนั้นเจอพี่บอนด์แกหยั่งเชิงทุกผู้คนไปพร้อมๆ กับกวนสมาธิเลอ ชีฟด้วย
ขณะเดียวกันหนังยังสอนสิ่งสำคัญที่สุดบนโต๊ะพนันคือ “ไม่มีอะไรแน่นอน”
แม้เราจะวางแผนดีแต่ผลที่ได้อาจล้มเหลวไม่เป็นท่า
แม้เราจะมีทุนหนา แต่ในพริบตาก็อาจหมดไปได้หากตัดสินใจพลาด
แม้เราจะคิดว่าคุมทุกอย่างได้ แต่เราอาจโดนคลื่นใต้น้ำซัดได้โดยไม่รู้ตัว
และแม้เราจะกำชัยชนะบนโต๊ะพนันได้ แล้วเราจะแน่ใจแค่ไหนว่าเมื่อลุกจากโต๊ะไป เราจะโดนทวงชัยชนะคืนไปและถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้หรือเปล่า
บนความเสี่ยงและอันตราย คงไม่เกินจริงหากจะบอกว่า “โต๊ะพนันนั้นหนา ห่างได้ร้อยวาก็ห่างเถิด”
ที่ผมกล่าวไปนั้นคือโป๊กเกอร์เกมหนึ่งจากจำนวน 3 เกมที่บอนด์ได้เล่นในหนัง… ใช่ครับ บอนด์ไม่ได้เล่นโป๊กเกอร์แค่ตรงโต๊ะที่เราเห็นเท่านั้น
จริงๆ โต๊ะพนันโป๊กเกอร์ที่บอนด์ดวลกับเลอชีฟนั้น ถือเป็นเกมที่ 3 เล่นหลังสุดเลยครับ ก่อนหน้านั้นมีอีก 2 เกมที่บอนด์ลงเล่นไป
เกมแรก คือระหว่างบอนด์กับลินน์ในรถไฟ ที่มีครบทั้งการหยั่งเชิง หยอกเอิน ผ่อนสายจูง ลักไก่ และเกทับกัน อันนำมาสู่บทสนทนาที่น่าสนใจ ที่เผยตัวตนของบอนด์ได้แบบชัดๆ ในตอนนั้น
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ในเกมตลอดครับ ไม่ว่าจะหยั่งเชิงด้วยการไต่ถาม และเกทับด้วยสารพัดวิธี อย่างตอนบอนด์เลือกชุดให้ ก่อนจะโดนลินน์โชว์เหนือตอกกลับมา เล่นเอาบอนด์การ์ดแตก เกราะยับเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้
โป๊กเกอร์เกมนี้ยังดำเนินไปจนหนังจบครับ เรียกว่าเริ่มเป็นเกมแรกและจบเป็นเกมสุดท้าย แต่ไว้เราค่อยมาว่ากัน ตอนนี้ขอโดดไปอีกเกมหนึ่ง
โป๊กเกอร์เกมที่ 3 คือระหว่างบอนด์กับเลอ ชีฟ… เปล่าครับ ไม่ใช่ที่โต๊ะพนัน แต่เป็นในชีวิตจริง มันเริ่มตั้งแต่บอนด์เลือกที่จะประกาศตัวว่าตนเป็นใคร โดยไม่ใช้ชื่อปลอมที่ทาง MI6 เตรียมมาให้ ก็เพื่อหยั่งเชิงเล่นโป๊กเกอร์ในชีวิตจริงกับเลอ ชีฟดูสักรอบ
จะว่าไปโป๊กเกอร์เกมนี้ก็ซ้อนทับอยู่กับเกมบนโต๊ะพนันของจริง ก่อนที่เกมนี้จะไปสรุปที่ฉากเกาไข่อันลือลั่น
สิ่งที่น่าคิดเกี่ยวกับเกมนอกโต๊ะนี้ก็คือ เกมบนโต๊ะที่ว่าเล่นยาก กะทางลำบาก และพลิกผันได้ทุกเมื่อขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่อันตรายเท่าเกมในชีวิตจริง ที่ซึ่ง “ได้” หรือ “เสีย” อาจส่งผลถึงชีวิตของเราได้
เกมพนันว่าต้องระวังและมีสติมากๆ แล้ว แต่เกมชีวิตเราต้องมีสติให้มากกว่า มีปัญญาให้มากอีก และเคล็ดลับสำคัญสู่การมีชัยเหนือเกม นั่นคือการเข้าใจกติกาของเกมชีวิต
กติกานั้นก็คือ… ไม่มีกติกาใด เพราะทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน และกติกาคือสิ่งสมมติชนิดหนึ่ง
ทีนี้ก็ได้เวลากลับมาที่เกมแรก ระหว่างบอนด์กับลินน์ที่เล่นบ้างพักบ้าง แต่ในที่สุดคนที่วางหมาก ลักไก่ และได้สิ่งที่ตัวเองต้องการไปตามแผนก็คือลินน์… แต่เป็นอะไรที่น่าสลด เพราะนาทีที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ลินน์รู้สึกไม่อยากชนะ อันที่จริงถ้าทำได้เธอคงเลิกเล่นไปนานแล้ว
และการแพ้โป๊กเกอร์เกมนี้ของบอนด์ ทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งสำคัญสุดๆ ของโลกสายลับ นั่นคือ ระวังที่จะไว้ใจใคร
“เมื่อคุณไม่ไว้ใจใคร คุณก็ได้บทเรียนแล้ว” นั่นคือสิ่งที่ M เอ่ยออกมา
… ยอมรับครับว่า Casino Royale ยิ่งดูยิ่งได้อะไรมาคิด เป็นหนังที่มีความเข้มในหลายระดับจริงๆ
ชมหนังไปก็เยอะแล้ว ว่าแต่มีอะไรยังไม่ได้ชมอีกน้า… อ้อ เพลง You Know My Name เร้าใจได้โล่ห์มากๆ ครับ ไตเติ้ลก็ทำได้น่าสนใจสวยกำลังดี
ครับ สรุปว่าจากหนังบอนด์ตอนที่ผมไม่คิดว่าจะชอบ จากดาราที่ผมไม่คิดว่าเขาจะเหมาะเล่นเป็นบอนด์ แต่ผลที่ได้กลับทำให้ผมยอมรับทั้งกายใจว่า Daniel Craig เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบทเจมส์ บอนด์ ในสไตล์ของเขาเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วบอนด์ในนิยายของ Ian Fleming นั้นก็มีแนวทางเหมือนบอนด์แบบ Craig นะครับ นั่นคือ เป็นบอนด์ที่จริงจังและโหดพอสมควร ดังนั้นบอนด์แบบ Craig จึงถือว่าตรงตามนิยายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ไปๆ มาๆ บอนด์ตอนนี้ผมขอยกให้ติดอันดับในดวงใจ เทียบเท่า From Russia With Love, Goldfinger และ Live and Let Die ไปเลยครับ