IMDB : tt0109444
คะแนน : 7
Harrison Ford กลับมารับบท แจ๊ค ไรอันอีกครั้ง ในหนังตอนที่ 3 ของชุดนี้ กับภารกิจการสืบสวนคดีฆาตกรรมซึ่งเป็นครอบครัวนักธุรกิจรายใหญ่ของอเมริกา ทั้งหมดถูกฆ่าขณะกำลังเที่ยวกลางมหาสมุทรอยู่ และพอดีที่เขาเป็นเพื่อนสนิทของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ (Donald Moffat) ด้วย
และเมื่อสืบไปก็พบว่านักธุรกิจคนดังกล่าวเป็นผู้ฟอกเงินให้พวกค้า ยาด้วยครับ เลยทำให้แจ๊คต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับขบวนการค้ายาเสพติดจากโคลัมเบียซึ่ง นำโดย เออร์เนสโต้ เอสโคเบโด้ (Miguel Sandoval) เจ้าพ่อรายใหญ่ และนายพลเฟลิกซ์ คอร์เตซ (Joaquim de Almeida) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ทำงานให้เออร์เนสโต้ แต่เรื่องจะสรุปลงอีท่าไหนลองดูกันต่อเองนะครับผม
แล้วภาคนี้ก็กลับ มามันส์ครับ เข้มข้นมากในด้านเนื้อหา อีกทั้งมีฉากแอ๊คชั่นลุ้นๆ อีกด้วย เอาแค่ฉากที่แจ๊คโดนล่อเข้าไปติดกับ ขับรถเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่งในโคลัมเบีย แล้วพวกผู้ร้ายก็ขนทั้งปืนกล ทั้งจรวดเอามายิงถล่มพวกของแจ๊คนั่นก็สุดๆ แล้วครับ ลุ้นกันแทบตายแน่ะว่าแจ๊คจะรอดไปได้อย่างไร เพราะเขาไม่ใช่พี่เจมส์ บอนด์ครับ ขานั้นยังมีอุปกรณ์ไฮเทคช่วย แต่กับพี่แจ๊คนี่มีแต่สมองล้วนๆ
คราว นี้ Phillip Noyce กำกับได้ดีขึ้นมากครับ จังหวะทุกอย่างลงตัวมากขึ้น การเดินเรื่องก็ฉับไว จนอาจจะไวเกินไปบ้าง เพราะเนื้อหามันเยอะไงครับ มันไม่ได้มีแค่การสืบและการสู้กับพวกค้ายาเท่านั้น มันยังมีเรื่องเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐบาล ทั้งเรื่องการฉ้อฉลอีก หนังเลยมีรายละเอียดค่อนข้างมากครับ ดังนั้นบางคนดูแล้วอาจจะงงๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจครับลองเอามาดูซ้ำก็ได้
รวมไปถึงภาคนี้จะเป็นการ เปิดตัว จอห์น คลาร์ค (Willem Dafoe) เจ้าหน้าที่รบภาคสนาม ซึ่งเป็นขาลุยครับ พี่แกก็ช่วยเพิ่มความมันส์และตื่นเต้นให้กับหนังได้อีกมากทีเดียว
ดารา ดีหมดครับ Ford นั้นสุดยอดอยู่แล้ว และในภาคนี้เขายังได้แสดงอารมณ์หลากหลายมากขึ้น ทั้งตอนตื่นเต้น กลัว ตอนโกรธ ก็ช่วยเพิ่มมิติให้บทแจ๊คได้มากครับ และในเรื่องภาคนี้แจ๊คยังเป็นคนประเภทตงฉินไม่ยอมอ่อนข้อให้อำนาจอิทธิพลใดๆ อีกด้วย ซึ่ง Ford ก็หน้าให้อยู่แล้วครับ ผลที่ได้ออกมาเลยต้องยอมรับว่านอกจากเขาจะแสดงได้ดีแล้ว บทยังสอดคล้องกับบุคลิกมากๆ ด้วย
Dafoe ก็ไปได้ดีกับบทคลาร์ค เขาดูน่าเชื่อจริงๆ ครับว่าเป็นขาลุย, Anne Archer กลับมาแสดงบท แคธี่ มัลเลอร์ ไรอัน ภรรยาของแจ๊คซึ่งมีอาชีพเป็นหมอครับ, Almeida กับบทวายร้ายสไตล์ลาตินซึ่งก็แทบจะเป็นภาพลักษณ์เขาไปแล้วล่ะครับ เห็นในหนังทีไรต้องเป็นผู้ร้ายแบบนี้ทุกที, Henry Czerny มารับบทโรเบิร์ต ริตเตอร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับ ซึ่งแววตาก็บอกแล้วล่ะครับว่าพี่แกมีความโกงอยู่ในหัวแน่ๆ และการแสดงออกก็ชัดเจนไม่แพ้กัน, Harris Yulin ก็มาเล่นเป็นเจมส์ คัตเตอร์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งสองรายหลังนี้เป็นบทที่เปรียบได้กับพวกข้าราชการขี้ฉ้อที่ทำทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักน่ะครับ วันๆ เอาแต่จะหาทางรักษาเก้าอี้ตัวเอง ส่วนเรื่องรับใช้ประชาชนนั้น ถ้าไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่คิดจะทำหรอก และคนจำพวกนี้ยังยอมตามผู้มีอำนาจหรือหัวหน้าของตนเองตลอดเวลา ไม่ว่าหัวหน้าจะทำถูกหรือผิดก็ตาม ซึ่งตรงกันข้ามกับแจ๊คโดยสิ้นเชิง ที่ทำอะไรก็คิดถึงส่วนรวมและความถูกต้องตลอด และหัวหน้าแท้ๆ ของเขาก็คือประชาชนหาใช่คนที่นั่งเก้าอี้ผู้นำไม่
บอกตามตรง คนแบบนี้ หายากสิ้นดีในยุคสมัยนี้
ดัง นั้นเนื้อในของหนังต้องเรียกได้ว่าแข็งปั๋งแบบสุดๆ เพราะมันเล่นกับเรื่องทุกแบบ ตั้งแต่การสืบคดี การไล่ล่าพวกค้ายา เรื่องฉ้อฉลภายในวงการเมืองต่างๆ ซึ่งดูแล้วแม้หนังจะเก่าเป็น 10 ปี แต่เรื่องทำนองนี้กลับยังเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปเลย ตรงกันข้ามครับ ที่นับวันพวกขี้โกงมันชักจะครองเมืองมากขึ้นทุกทีๆ … ตื่นเถิดชาวไทย
แต่ครับ แต่ทว่า Tom Clancy เจ้าของบทประพันธ์ ก็ไม่ค่อยพอใจอีกเช่นเคยที่เนื้อหามันดัดแปลงไปจากบทประพันธ์ของเขาค่อนข้าง มาก แต่มันก็แตกต่างจากคราวก่อนครับ ตรงที่ภาคที่แล้ว (Patriot Games) Clancy ไม่พอใจทั้งในเรื่องการปู้ยี่ปู้ยำบทประพันธ์ของเขา และชิ้นงานที่ออกมาไม่ใคร่จะน่าพอใจนัก แต่กับในภาคนี้ Clancy พุ่งไปที่เรื่องการดัดแปลงเนื้อหามากกว่าที่จะมาก่นด่าเรื่องคุณภาพ
อย่างไรก็ดี ผลที่ออกมาก็นับว่าดีมากครับ เพราะเนื้อหาเข้มข้นและยังมีการคงคอนเซปต์สไตล์ของ Clancy ไว้ได้อย่างน่าสนใจ นั่นก็คือ ตามปกติในพล็อตของนิยาย Clancy จะเน้นในการจับประเด็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในโลกมาผูกเป็นเรื่องเป็นราว อย่าง The Hunt For Red October ก็จับเอาเรื่องสงครามเย็นที่ยังมาคุๆ ในยุคนั้นเอามาทำ ส่วน Patriot Games แท้จริงแล้วเนื้อหาพล็อตมันจะต้องเกี่ยวข้องไปถึงแง่มุมบางอย่างของขบวนการ IRA และวิกฤตที่เกิดขึ้นแถบไอร์แลนด์เหนือ (แต่ในฉบับหนัง ดันไปเน้นที่การล้างแค้นเพียงอย่างเดียว แง่มุมที่ว่าเลยหายไปอย่างน่าเสียดาย)
กับในเรื่องนี้ หนังมาพร้อมแง่มุมการวิพากษ์วิจารณ์สังคมระดับประเทศอย่างดีครับ ก็ในเรื่องอย่างที่ผมบอกไปน่ะแหละ ซึ่งก็อดจะคิดตามไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องของอำนาจ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมถือว่าอำนาจเป็นของบริสุทธิ์อย่างหนึ่งนะครับ แต่สิ่งที่ทำให้มันแปดเปื้อนก็คือมือของผู้ใช้นี่แหละ หากคนใช้มันในทางที่ดีก็ประเสริฐน่ะครับ ทว่าส่วนใหญ่ที่ไอ้คนใช้มันทำชั่วๆ นี่อ้ะดิคับ บ้านเมืองเราถึงได้เจริญฮวบๆ อยู่แบบเนี้ย
กลับมาเรื่องหนังนะครับผม
ก็ทำได้ดีครับ เนื้อหาแน่น แง่คิดเข้าท่า การเดินเรื่องถือว่าฉับไวครับ ก็คงต้องตามเรื่องให้ทันน่ะนะครับ ถ้าตามทันและท่านเป็นคนชอบหนังสไตล์ทริลเลอร์การเมืองล่ะก็ เรื่องนี้น่าจะอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจได้ไม่ยากเย็น อีกจุดที่ทำได้เยี่ยมก็คือ ดนตรีฝีมือ James Horner ซึ่งเขาก็ทำให้ภาคที่แล้วด้วยครับ แต่คราวนี้โทนดีขึ้น ยิ่งฉากที่แจ๊คโดนระเบิดล้อมตรอกนั่น โคตรจะลุ้นเลยครับ (และดนตรีช่วงที่ว่านี้เอง ที่ละครทั้งไทย และจีนต่างเอามาใช้กันอุตลุดตราบจนทุกวันนี้ครับ)
เข้มข้นน่าติดตาม มันส์กว่าภาค 2 แต่ยังเป็นรองภาคแรกอยู่หน่อย … แต่ต้องเข้าใจนะครับ เข้มข้นเชิงเนื้อหา ส่วนแอ๊คชั่นก็มีเท่าที่จำเป็นครับ ถ้าอยากดูหนังเอามันส์ ไม่ใช่เรื่องนี้ครับ