ค้นหาหนัง

Clockstoppers

Clockstoppers
เรื่องย่อ : Clockstoppers

แซค เด็กมหาลัยที่แอบปิ๊ง ฟรานเชสก้า นักเรียนแลกเปลี่ยน วันหนึ่งเขาบังเอิญได้ไปเจอนาฬิกาข้อมือของ ดร.เอิร์ล ดอฟเลอร์ พอเขาใส่มันเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น เขากับเพื่อนเลยชวนฟรานเชสก้ามาทำเรื่องสนุกๆ แกล้งคนที่พวกเขาพบเจอในสถานที่ต่างๆ แต่เรื่องมันก็ไม่ได้มีแต่ความสุข ในเมื่อมีคนที่ต้องการนาฬิกาเรือนนั้นที่อยู่กับแซคและจับพ่อเขาไป เขากับเพื่อนๆ จึงต้องหาทางช่วยให้ได้

IMDB : tt0157472

คะแนน : 8



คนทำหน้าที่กำกับก็คือ Jonathan Frakes อ้า ถ้าท่านเป็นคอหนังไซไฟแนวอวกาศล่ะก็ต้องรู้จักแน่นอนครับ เขาคือผู้รับบทผู้การวิล ไรเกอร์จากหนังชุด Star Trek ฉบับ The Next Generation และพี่ท่านก็เคยสำแดงฝีมือกำกับ Star Trek ภาคหนังใหญ่ ในตอน First Contact แล้วก็ Insurrection มาแล้ว และก็ทำออกมาได้สนุกประทับใจพอตัวซะด้วย ก็ไม่แน่แปลกใจล่ะครับที่พี่ท่านได้เก้าอี้กำกับหนังเรื่องนี้ไปครอง ก็ถือเป็นงานประเดิมเรื่องแรกที่ไม่ได้เกี่ยวกับหนังชุด Star Trek

บทเขียนโดย Rob Hedden คนที่เคยเขียนและกำกับ Friday the 13th Part VIII: Jason Takes Manhattan มาก่อน ซึ่งบทก็อ่อนพอๆ กันน่ะแหละ ขนาดได้ Andy Hedden, J. David Stem และ David N. Weiss มาช่วยกันเขียนเรื่อง มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรมากขึ้นเลยครับ เหมือนแค่หนังวัยรุ่นที่มีนาฬิกามาแทรกเท่านั้นเอง ธรรมดามาก ตามสูตรเลยครับ ตอนแรกพระเอกต้องตะลึงกับอำนาจของวิเศษที่ตนได้รับ ตามด้วยการจีบสาว แล้วก็ลงเอยด้วยการเอาชนะผู้ร้าย แหม ไม่หลุดจากกรอบเลยนะพี่

ก็เพราะมันอยู่ในกรอบเกินไปนี่แหละครับ มันเลยไม่มีอะไรจากเกินคาดเดานัก ก็พอเข้าใจครับว่หานังทำออกมาเอามันส์ แต่มันไม่มันสือ้ะ ควมตื่นเต้นไม่เจอ คือดูๆ ไปผมว่าโดราเอมอนตอนเกี่ยวกับนาฬิกาหยุดเวลานั่นยังสนุกกว่าตั้งเยอะ อย่างน้อยก็คือมันมีอะไรให้เก็บไปคิดครับ ผมจำได้เลย โดราเอมอนตอนนั้นน่ะ โนบิตะหยุดๆๆๆ เวลาอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งพอเครื่องมันเจ๊งก็ถึงจะสำนึกตนได้ แต่กับเรื่องนี้ก็เหมือนแค่ออกมาเรื่อยๆ น่ะครับ แต่อันนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงน่ะเน้อ มันเป็นสไตล์ของหนังวัยรุ่นฝรั่งเขาน่ะครับ สาระถ้ามีก็น่าพูดถึง แต่ถ้าไม่มีก็คงด่าได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาไม่ได้หวังสาระนี่หน่าว่ามั้ยล่ะครับ

แต่เรื่องความสนุกน่ะด่าได้ อ้า อันนี้เรื่อยๆ เกินไป เดาได้หมด ยุคนี้แล้วน่ะนะครับ ตอนจบสไตล์ธรรมดามากๆ ยังมีอยู่อีก จนดูจบผมก็ยังรู้สึกว่าดูหนังทีวีอยู่ดี เพราะนอกจาก Effect แล้ว ส่วนอื่นๆ มันไม่เหมาะกับการเป็นหนังโรงเลยแม้แต่น้อย