ค้นหาหนัง

Dead Silence

Dead Silence | อาถรรพ์ผีใบ้
เรื่องย่อ : Dead Silence

เจมี่ แอสเชน ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตกับภรรยาอย่างปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีคนส่งตุ๊กตาไม้หุ่นเชิดมาส่งให้ที่ห้อง เขาเลยนำเข้ามาประดับบ้านเอาไว้ จนเกิดเรื่องเมื่อภรรยาของเขากลับเสียชีวิตอย่างสยดสยอง ทำให้ ลิปตัน นายตำรวจที่เข้ามาทำคดีนี้ ก็มีความสงสัยในตัว เจมี่ ว่าเขานั้นเป็นผู้ฆาตกรรมภรรยาตัวเองหรือไม่ ส่วน เจมี่ เองหลังเกิดเหตุการสยองเขาก็ลับมายังบ้านเกิด และได้ระลึกถึงตำนานหุ่นเชิดอาถรรพ์ตัวนี้ ว่าแท้จริงแล้วมันมีที่มาที่ไปอย่างไร

IMDB : tt0455760

คะแนน : 6



จาก James Wan และ Leigh Whannell คู่หูผู้สร้างหนังสยองขวัญเรื่องดังแห่งยุคอย่าง Saw นะครับ หลังจาก Saw ดังพวกพี่แกก็นั่งแท่นอำนวยการสร้างภาคต่อไปเรื่อยๆ ส่วนฝีมือการกำกับของแกนั้น สงวนไว้ให้โปรเจคท์นี้โดยเฉพาะครับ ประมาณว่า Wan ถือว่าทำ Saw ภาคแรกจบก็พอแล้ว ไปทำอย่างอื่นต่อดีกว่า แล้วผลที่ได้ก็คือ Dead Silence เรื่องนี้ครับ

เจมี่ แอสเช่น (Ryan Kwanten) หนุ่มหล่อที่กำลังมีชีวิตสุดแสนสวยงามกับแฟนสาว (Laura Regan) แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็พังทลาย เมื่อมีใครก็ไม่รู้ส่งตุ๊กตาหุ่นไม้มาถึงห้อง ตอนแรกเขาเองก็พยายามไม่คิดอะไรมาก เลยออกไปทำธุระ ทิ้งให้เมียรักอยู่กับบ้านไป แต่พอเขากลับมา กลับพบว่าเมียตัวเองเป็นศพไปแล้ว ซ่ำสภาพศพก็ยังสยองมากๆ ด้วย

นายตำรวจลิปตัน (Donnie Wahlberg) สงสัยทันทีว่าเจมี่จะเป็นคนฆ่าเมียด้วยตัวเอง แต่เจมี่แน่ใจว่าฆาตกรแท้จริงคือเจ้าหุ่นไม้นั่น อันเป็นตำนานสยองเก่าแก่ของเมืองเรเวนส แฟร์ บ้านเกิดที่เขาหันหลังให้มาหลายปี เขาเลยต้องรีบกลับเข้าเมืองไปเพื่อตามสืบหาความจริง

พอขุดค้นเรื่องราวก็ได้ความว่าเจ้าตุ๊กตาไม้นี่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสาปประจำเมือง และเกี่ยวกับแมรี่ ชอว์ (Judith Roberts) หญิงชราที่เสียชีวิตไปเมื่อนานมาแล้ว และว่ากันว่าเธออยู่เบื้องหลังการตายอันสุดสยองของชาวเมือง… แล้วเจมี่จะเป็นอย่างไรต่อไป เขาจะต้องเจอกับอะไร คำตอบก็อยู่ในหนังแล้วครับ ไปดูกันเร้ว

ความที่หนังไม่ดังนัก ในแง่รายได้ต้องถือว่าน้อยครับ ลงทุน $20 ล้าน แต่ทำเงินไปเพียง $22 ล้านจากทั่วโลก ซ้ำมาบ้านเราก็ยังลงแผ่นเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่ง ผมเลยไม่คิดจะคาดหวังอะไรกับมันนักในตอนแรก… แต่ขอโทษ หนังออกมาสนุกแฮะ

ผมประทับใจหนังในหลายๆ อย่างครับ ตั้งแต่สไตล์ภาพที่ทำออกมาดีตั้งแต่ฉากแรก ที่ทำออกมาเป็นภาพเกรนแตกๆ ดูเก่าๆ ภาพก็ดูเคลื่อนที่แบบแปลกๆ สยองๆ ดนตรีของ Charlie Clouser คอมโพเซอร์ขาประจำของหนังชุด Saw ก็ยังออกมาน่าขนลุกเป็นระยะๆ แฝงความอลังการแบบอาบเลือดเอาไว้ แค่ช็อตแรกตรงเครดิตก็ได้ใจผมไปเยอะแล้วครับ

ตามด้วยสไตล์เรื่องที่ไม่ได้ใหม่นะ มันออกแนวหนังสยองคล้ายๆ พวก Darkness Falls และหนังแนวสยองอิงตำนานอีกสารพัด แต่จุดที่ทำให้เรื่องนี้เข้าท่ากว่าคือบรรยากาศที่ทำได้ถึงจริง มุมกล้องที่ชวนกดดันตลอด โทนสีก็หม่นมืด ชวนหดหู่แล้วหมดหวังอย่างแรง

และจุดเด็ดของหนังคือการปล่อยปม ทิ้งเรื่องให้ชวนลุ้นตลอด เหมือนว่า Wan จะรู้จังหวะการผ่อนหนังเป็นอย่างดี คือมีผ่อนแต่ไม่ให้มากเกินไป พอรู้ว่าคนดูน่าจะเบื่อแล้วนะช่วงนี้ก็รีบเอาฉากสยองใส่ลงไป หรือไม่ก็เอาปมมาทิ้ง ไม่ก็คลายปริศนาไป เรียกว่ามีการดึงความสนใจตลอด

หนังค่อนข้างสดในแง่ของสไตล์ครับ เนื้อหากับโครงอาจเดิมๆ แต่มันมาพร้อมการขัดเกลาจนได้หนังดีมาอีกหนึ่งเรื่อง

ยิ่งช่วงท้ายนี่ลุ้นกันแหลกครับว่าเรื่องมันจะไปทางไหนได้ หรือการเผชิญหน้าวายร้ายตรงไคลแม็กซ์ก็สยองดี พวกหุ่นไม้นี่ก็เลือกมาได้สยองครับ หน้าตานิ่งดูผิดธรรมชาติจริงๆ (มีการรับเชิญหุ่นจาก Saw มาด้วยนะครับ ขำดี เขามีแต่ดารารับเชิญ นี่หุ่นรับเชิญครับ)

ดาราในเรื่องก็แสดงได้ยอดครับ Kwanten ก็ดูเหมาะกับบทพระเอก ส่วน Wahlberg ก็ไปได้ดีมากๆ กับบทตำรวจที่ตามสืบแบบกัดไม่ปล่อย ช่วงท้ายหนังได้พี่แกช่วยให้ความลุ้นมากขึ้นเยอะครับ, Bob Gunton มาสวมบทพ่อของเจมี่ รายนี้แค่นั่งนิ่งๆ ก็กินขาดแล้ว และ Amber Valletta สาวสวยที่มารับบทแม่ใหม่ของเจมี่ หรือเมียใหม่ของพ่อเจมี่นั่นเอง เธอก็บทไม่เยอะครับ แต่แสดงดีไม่เลว

ผมว่า Wan แกเก่งพอตัวครับ ทำหนังแนวไม่ใหม่ได้น่าดูขนาดนี้ ถือว่าคุ้มเลยล่ะครับสำหรับคอหนังสยอง ฉากการตายก็โหดเหมือนกัน สภาพศพก็น่าขนลุกดีแท้ แต่ก็อย่างว่าครับ หนังไม่ทำเงิน ตอนแรกจริงๆ มีแผนจะทำภาคต่อ แต่พอรายได้ไม่ปัง การทำภาคต่อก็เลยพังพาบไป และได้ข่าวว่า Whannell เองก็ไม่ใคร่จะพอใจกับผลลัพธ์ของหนังสักเท่าไร เพราะอะไรหลายๆ อย่างถูกสตูดิโอแทรกแซงจนหนังไม่ได้ออกมาในแบบที่เขาต้องการ พอได้ยินแบบนี้แล้วก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าแบบที่ Whannell ต้องการนั้นหนังจะออกมาเป็นแบบไหน

แต่สำหรับผมแล้ว หนังถือว่าดูได้เพลินดีครับ ไม่น่าพลาดครับหากคุณเป็นคอหนังสยอง โดยเฉพาะฉากจบที่ … ต้องดูเองครับ ตอนดูจบนี่คิดในหัวแค่คำเดียวว่า “คิด ได้ ไง!”