ค้นหาหนัง

Déjà Vu

Déjà Vu
เรื่องย่อ : Déjà Vu

ดั๊ก ตำรวจหน่วย ATF ที่ต้องมารับสืบคดีวางระเบิดเรือโดยสารลำหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้คนตายไป 543 คน แต่แล้วดั๊กก็ได้รับการติดต่อจาก แอนดรูว์ เจ้าหน้าที่ FBI ที่ขอความร่วมมือให้ดั๊กร่วมทีมกับพวกเขา ทีมที่ว่านี่คือหน่วยลับที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาล หน่วยนี้มีเครื่องมือสามารถจะดูเหตุการณ์ในอดีตย้อนไป 4 วันได้ ดังนั้นพวกดั๊กเลยให้เครื่องมือนี้เกาะรอยฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด.M.

IMDB : tt0453467

คะแนน : 9



กลับมาซะทีครับกลับการเขียนหนังชนโรง ห่างหายไปนานเหมือนกัน ด้วยความขี้เกียจนั่นแหละครับไม่ใช่อะไรหรอก แล้วอีกอย่างก็ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกนะว่าดูหนังสมัยนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าสมัยก่อน คงเพราะแก่ขึ้นแล้วมั้งครับ แล้วเรื่องมาก แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ ดูหนังสมัยนี้มันไม่ค่อยจะตื่นตาเท่าเมื่อก่อน

อาจเพราะมันเริ่มซ้ำๆ ของเดิมด้วยส่วนหนึ่ง ทีนี้พอผมดูหนังมาเยอะเกินเหตุมันเลยอดเอาไปเปรียบเทียบไม่ได้ ก็ถือเป็นทุกข์ส่วนตัวแล้วกันนะครับ แค่บ่นระบายนิดหน่อยพอประมาณไม่ว่ากันนะฮะ

แล้วก็มาว่ากันถึงหนังเรื่องล่าสุดของเฮีย Denzel Washington เลยนะครับ เขารับบทเป็นดั๊ก คาร์ลิน ตำรวจหน่วย ATF ที่ต้องมารับสืบคดีวางระเบิดเรือโดยสารลำหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้คนตายไป 543 คนเลยทีเดียว

จากการค้นหาเงื่อนงำ ก็ทำให้เขาพบกับหลักฐานที่อาจจะสาวไปถึงตัวคนวางระเบิด นั่นคือศพของแคลร์ คุชเชเวอร์ (Paula Patton) แต่อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะมืดแปดด้านไปหมด เพราะศพเธอทำได้แค่สร้างสมมติฐานเท่านั้น ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือตัวการ

แต่แล้วดั๊กก็ได้รับการติดต่อจาก แอนดรูว์ ไพร์ซวอร์ร่า (Val Kilmer) เจ้าหน้าที่ FBI ที่ขอความร่วมมือให้ดั๊กร่วมทีมกับพวกเขา

ทีมที่ว่านี่คือหน่วยลับที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลครับ (ประจำเล้ย รัฐบาลอเมริกา ) หน่วยนี้มีเครื่องมือสามารถจะดูเหตุการณ์ในอดีตย้อนไป 4 วันได้ ดังนั้นพวกดั๊กเลยให้เครื่องมือนี้เกาะรอยไปที่ตัวของแคลร์ ก่อนที่เธอจะถูกฆ่า เพื่อหาเงื่อนงำว่าใครติดต่อกับเธอ เพราะคนๆ นั้นแหละ คือฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด

จากนั้นเรื่องราวเป็นยังไงผมก็ไม่ขอบอกล่ะนะครับ เพราะมันจะเปิดเผยเนื้อเรื่อง แต่ผมบอกได้อย่างหนึ่งว่าเนื้อเรื่องหลังจากนี้หากใครผ่านหนังประเภทนี้มาแล้วก้น่าจะเดาได้ หนังอย่าง Frequency หรือแม้แต่ Harry Potter and The Prisoner of Azkaban ถ้าท่านเคยดูสองเรื่องนี้มาก่อนคงทราบแน่ครับว่าครึ่งหลัง ตัวเอกของเรื่องนั่นจะตัดสินใจทำอะไรเพื่อหยุดยั้งหายนะที่เกิดขึ้นไปแล้วน่ะ แต่ถ้ายังไม่ดูก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรู้ก็ได้

… เอาล่ะ แล้วก็ได้เวลาไอ้หมื่นจะมาบ่นอีกแล้วล่ะนะครับ

ว่ากันสองสเต็ปตามเคยครับ สเต็ปแรกไม่ลึกนัก สำหรับคนที่ไม่อยากจะรู้อะไรมากมายนอกจากว่าหนังสนุกหรือไม่ ส่วนสเต็ปต่อมาก็จะลึกหน่อย อาจเปิดเผยเนื้อเรื่องบ้างก็ระวังไว้นะครับ แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าท่านอ่านแบบไม่ข้ามช็อตล่ะรับประกันว่าไม่หลุดไปเจอสปอยล์แน่ๆ ควบคุมกล้ามเนื้อตาไว้ดีๆ นะรับ หากอ่านเลยไปผมก็ขอโทษล่วงหน้าแล้วกัน

ครับ มาทราบในเบื้องต้นเลยว่าหนังกำกับโดย Tony Scott เจ้าของผลงานมันส์ๆ อย่าง Top Gun, Beverly Hills Cop II, Days of Thunder, True Romance, Crimson Tide, Enemy of the State, Spy Game และ Man on Fire ก็เป็นการพอจะการันดีได้นะครับว่างานของพี่ Tony แกก็โอเคน่ะ นานๆ ทีจะมีเรื่องหลุดไปบ้างอย่าง Revenge หรือ The Fan ไรเงี้ย แต่กับเรื่อง Deja Vu นี่วางใจได้ครับ ฟอร์มไม่หลุด ถือว่ามันส์และสนุกตามมาตรฐานของพี่ท่าน ไม่ว่าจะลีลามุมกล้องแบบเหวี่ยง (แต่ไม่มากเท่า Michael Bay ครับ อันนั้นมันมุมกล้องลมบ้าหมู ) ภาพเล่นโทนสี และการเดินเรื่องที่ค่อนข้างไวครับ ต่อฉับๆ ทำนองนั้นแหละ

อาจมีช่วงอืดบ้างตอนต้นนะฮะ ที่เรื่องมันทิ้งยืดไปหน่อย เพราะมันจะเป็นการเริ่มสืบค้นหาหลักฐาน ดั๊กตัวเอกของเรื่องก็ค่อยๆ หาไป ซึ่งการหาก็ไมได้เร้าใจอะไรหรอกครับ เหมือนสืบหาตามหนังตำรวจทั่วๆ ไป แค่หาประเภทระเบิด ดูกล้องวงจรปิด ถ้าใครดูหนังแนวนี้มาเยอะอาจจะเบื่อเอาก็ได้ แต่พอหนังผ่านช่วงนี้ไปก็สบายล่ะครับ ถือว่าสนุก เพราะได้ดาราดีๆ อย่างพี่ Denzel มาดึงไว้ตลอดทั้งเรื่อง

หนังมันเริ่มจะมันส์ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกลงไปน่ะครับ เป็นตอนที่แอนดรูว์เริ่มพาดั๊กไปหน่วยลับที่สามารถมองอดีตได้ พาไปรู้จักกับโปรแกรมเมอร์มือโปรอย่าง เดนนี่ (Adam Goldberg) แล้วก็กันน่า (Elden Henson) ช่วงที่ว่านี่ค่อยตาตื่นขึ้นมาหน่อยครับ เป็นการอธิบายแล้วก็ไล่ตามสืบหาคนที่มาติดต่อกับแคลร์ไป ช่วงนี้นับว่าสนุกดีทีเดียว อย่างไอ้ตอนเอารถไปไล่ล่าภาพจากอดีตนี่ทำได้เร้าใจ สนุกเข้าท่ามาก สำหรับผมนะครับช่วงที่ว่านี่มันส์สุดแล้วล่ะ ได้อารมณ์จริงๆ ดูแล้วเหนื่อยแทนพี่ Denzel เลยครับ เสี่ยงตายสุดๆ ไปเลยล่ะ

เอาล่ะครับ นี่คือเบื้องต้นนะครับ ทีนี้เราอาจจะมีการลงลึกกันหน่อย จริงๆ ผมไม่ถือว่าสปอยล์หนักหรอกครับแต่ก็เข็ดแล้ว เดี๋ยวโดนกระหน่ำด่าได้ ก็เลยขอเบรคไว้แถวๆ นี้แล้วกันนะครับ ถ้าไม่อยากรู้อะไรในเรื่องมากไปกว่านี้ก็หยุดสต็อปที่ป้ายนี้ แล้วเลื่อนลงไปล่างๆ ไปอ่านดาวกับคำสรุปตอนท้ายเลยแล้วกันนะครับผม

ที่ผมจะพูดคือ พอหนังเข้าช่วงท้ายนี่ก็อย่างที่ผมบ่นล่ะครับ ว่ามันเล่นมุขเดิมๆ นั่นคือการหาทางแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว แก้อดีตช่วยคนไม่ให้ตาย หาทางยับยั้งระเบิด ซึ่งมันก็มีอยู่ไม่กี่มุข และที่ในหนังเรื่องนี้ทำก็คือมุขเดิมๆ นั่นแหละครับ นั่นคือการเจาะเวลาไปแก้อดีต ไม่เกินคาดเดาเลย อันนี้ออกจะซ้ำไปหน่อยน่ะครับ อย่างที่บอกน่ะแหละ ถ้าท่านคุ้นกับพวกหนังแก้อดีตท่านก็น่าจะรู้ทางหนีทีไล่ของหนังเรื่องนี้ดี และมันก็ไม่ได้ผิดคาดไปแม้แต่น้อย

แต่ก็โชคดีล่ะครับที่หนังทำออกมาแม้จะเดาได้ แต่มันก็ยังมีลุ้น มีสนุกบ้าง ก็ต้องชมทั้งพี่ Tony ทั้งพี่ Denzel น่ะแหละ ที่เล่นกันเก่งทำกันดี พอจะดึงความสนใจเราไปจนหนังจบได้ แม้จะไม่มีอะไรใหม่ก็ตาม

ก็อย่างที่ผมชอบพูดน่ะแหละครับ หนังยุคนี้การจะทำอะไรที่มันแปลกใหม่น่ะมันยากครับ เพราะวงการหนังน่ะมันมีมากว่าศตวรรษแล้ว พวกสูตรต่างๆ มุขประหลาดใจต่างๆ ก็โดนเอาไปใช้งานจนแทบหมดแล้ว หายากที่จะมีหนังแปลกใหม่ออกมา ดังนั้นจะไปคาดหวังความสดความใหม่ทางไอเดียล่ะมันคงจะทำให้เราเซ็งกับการดูหนังหลังจากนี้แน่ๆ ล่ะครับ ดังนั้นอย่างน้อย แม้หนังมันจะเดินตามสูตรซ้ำ แต่ก็ขอให้มันออกมาสนุกและตื่นเต้น ทำให้มันมีลูกเล่นน่าติดตามก็ถือว่าพอไหวแล้วล่ะ

แล้วก็โชคดีที่อย่างน้อยหนังก็ทำเช่นนั้นได้สำเร็จตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น

นั่นคือจุดใหญ่ที่ผมมองแล้วคาบมาบอกนะครับ เพราะมันชัดมาก เรื่องมุขซ้ำเนี่ย แต่ก็ไม่ถึงกับผิดหวังอะไรเพราะทีมงาน ดารา ผู้กำกับเล่นกันได้ดี เลยไม่รู้สึกว่าเสียหายอะไรครับ ยังถือว่าสนุกและลุ้นได้ ตอนจบก็จบลงอย่างที่ควรจะเป็น แต่ผมก็ยอมรับนะครับว่าปมบางอย่างมันค่อนข้างแปลกๆ อาจจะเพราะหนังเรื่องนี้เล่นกับปมย้อนอดีตแบบที่แตกต่างจากเรื่องอื่นน่ะครับ บางอย่างไม่น่าจะไปเกิดได้ในเรื่อง แต่หากทำใจเชื่อก็พอทำเนาน่ะ คิดซะว่าเป็นหนังมันก็เป็นไปได้เหมือนกัน ผมพยายามไม่คิดมากครับ จะได้ไม่ปวดหัวน่ะ

ครับ สรุปคือปัญหาหนักๆ ของหนังมีแค่มุขซ้ำๆ กับปมอดีต ปมอนาคตที่ออกจะสับสนหน่อย ไม่ใช่สับสนแบบดูไม่รู้เรื่องนะครับ แต่สับสนในแง่ที่ว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่น หนังตอนต้นมันสื่อว่า ดั๊กเคยย้อนอดีตมาแก้ไขมันไปแล้ว (เช่น ผ้าเปื้อนเลือด กับ คำว่า U Can Save Her) ดังนั้นการระเบิดก็ไม่น่าจะเกิดสิครับ มันแปลว่าดั๊กจากอนาคตมาที่นี่แล้ว และต้องทำการแก้ไขมันไปแล้วสิ แต่ประเด็นนี้ก็สามารถทำความเข้าใจได้ครับ ว่ามันเกิดจากความหน่วงของเวลา เรื่องของมิติอะไรทำนองนั้น ประมาณว่าช่วงนั้นได้เกิดมิติซ้อนขึ้นแล้วน่ะครับ เลยมีการรวมตัวกันระหว่างอดีตที่ถูกแก้ไข กับอดีตที่ยังไม่โดนแก้ไข ก่อนที่มันจะรวมตัวเป็นหนึ่งอีกทีในตอนท้ายของเรื่อง

… อืมม์ อันนี้ออกจะเป็นอะไรที่ทำเอาท่านงงได้นะครับ ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ผมแค่พล่ามน่ะ อันนี้พูดจุดประเด็นเผื่อเอาไปคุยกับเพื่อนอีกที แต่ก็คิดเหมือนกันว่าหลายคนน่าจะติดใจตรงนี้ เพราะตอนออกจากโรงมาก็เห็นมีคนคุยกันหลายกลุ่มทีเดียวว่า มันไม่น่าเป็นไปได้น้า ซึ่งผมก็คิดเหมือนกันครับ แต่เผอิญผมก็พยายามหาเหตุผลให้หนังด้วย เพราะผมเชื่อว่า Bill Marsilii กับ Terry Rossio คนเขียนบทคงไม่ได้พลาดอะไรหรอก เพียงแค่อาจจะไม่ได้ใช้ทฤษฎีย้อนเวลาแบบหนังเรื่องอื่นๆ เท่านั้นเอง อีกอย่าง สองคนนี้ใช้เวลาเขียนบทตั้งแต่ปี 1997 นะครับ ผมว่าเขาก็คงจะพยายามคิดให้มันรัดกุมแล้วล่ะ ไม่น่าจะพลาดหรอก แต่ถ้าอยากคุยกันก็ไว้มาเปิดประเด็นครับ (แต่เพื่อนผมยืนยันว่าพี่คนเขียนบทยำมั่วแน่ๆ 5555 อันนี้นานาจิตตังครับผ้ม)

แต่ถ้าลองตัดประเด็นที่ว่านั่นออกไปแล้วดูที่ตัวหนังมันก็โอเคล่ะครับ ดูได้เรื่อยๆ เฮีย Denzel นี่นาทีนี้ผมแทบจะไม่ต้องสาธยายอะไรแล้วนะครับ แกมันเทพชัดๆ เล่นเป็นอะไรได้หมด ซึ่งก็ครบทุกอารมณ์ตามเคยล่ะครับ ท่าทางดูเป็นตำรวจดีๆ ไม่มีปัญหา แววตาตอนสืบสวน หรือตอนเห็นใจคนนี่ก็ห่ายห่วง หรือจะตอนฉลาดทันคนก็ทำได้หมดนะครับ … นี่ผมจะมาพูดอะไรอีกล่ะเนี่ย สั้นๆ ว่าแกเด็ดครับ

ดาราอีกสองคนที่ทำให้หนังเจ๋งขึ้นก็คือ Patton ในบทแคลร์นะครับ เปล่าครับ เธอไม่ได้เล่นเป็นศพอย่างเดียว เธอยังแสดงตอนที่ย้อนไปดูภาพในอดีตนั่นไง แม้จะไม่ได้เด่นมากแต่ก็เป็นธรรมชาติครับ ผมชอบฉากที่เธอลองเสื้อหน้ากระจกแล้วก็พึมพำว่า “ค่ะ ฉันไม่ได้เดตมาตั้งนานแล้วล่ะ” แค่ฉากนี้ผมก็เข้าใจเลยครับว่าทำไมดั๊กถึงชอบเธอและอยากช่วยชีวิตเธอ ก็เธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ต้องการใครสักคน ต้องการความรัก แต่ดันมาโดนคนที่ไม่เห็นค่าของเธอทิ้งไปอีก แล้วเรายังต้องมาทราบล้วงหน้าอีกว่าเธอกำลังจะโดนฆ่า คือถ้าไม่คิดช่วยนี่ใจก็แข็งเกินไปแล้วล่ะครับ

อีกเจ้าก็คือ Goldberg ในบทเดนนี่ เจ้าหน้าที่โปรแกรมเมอร์ที่คุมหน้าจอย้อนอดีต ก็หมูๆ ครับ แต่เขาก็ไม่ทำให้บทนี้ออกมาราบๆ ยังอุตส่าห์ใส่ลีลาสไตล์นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องลงไปหน่อยๆ ด้วย ก็ดีล่ะครับ เพียงแต่ช่วงท้ายเขาดันไม่มีบทเลยนะ อันนี้ออกจะน่าเสียดายเหมือนกัน แต่หากดุตามเหตุผลของหนังแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรจะมาโผล่จริงๆ แหละครับ

แต่ดารานอกจากนี้ ที่มีชื่อนะครับ ก็ไม่รู้จะมากันทำไม เพราะไม่มีอะไรให้จำเลย ไม่ว่าจะอดีตแบทแมน Val Kilmer ที่เรื่องนี้อวบแบบไปทางอืดมากๆ แล้ว ก็มาแบบรับเชิญซะล่ะมากกว่าครับ ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่เลย การแสดงก็แทบไม่มี ผมว่าหาใครมาแสดงแทนก็ได้ แตก่ทราบมาว่าพี่ Val แกอยากมาแสดงกับ Denzel น่ะครับ ด้วยเหตุผลส่วนตัวแก ก็โอเค

แล้วก็มี Bruce Greenwood ในบทแจ๊ค แม็คเครดี้ หัวหน้างานของแอนดรูว์ที่โผล่แบบไม่มบทหนักกว่าพี่ Val อีก, Matt Craven มาเป็นแลร์รี่ มิวนิตี้ คู่หูของดั๊กที่ต้องมาเจอเหตุร้ายเนื่องด้วยเครื่องย้อนเวลานี่แหละ และ Jim Caviezel พระเอกหน้าซูบมาเป็นแครอล โอลด์สเตท วายร้ายของเรื่อง ก็ไม่ต้องทำอะไรมากครับ แค่นิ่งๆ ร้ายๆ แค่นั้นเอง สำหรับรายหลังๆ นี่มีชื่อครับ แต่บทไม่ค่อยน่าพูดถึงเท่าไหร่ สู้สองคนที่ผมบอกนั่นไม่ได้

เอาล่ะมาสรุปกัน หนังก็ตามสูตรครับ ล่าระทึกข้ามเวลาหน่อยๆ พอเดาได้ แต่ได้ดาราดีๆ กับผู้กำกับดีๆ มาคุมหนังอยู่ ซึ่งหนังก็มีรายละเอียดเล็กๆ แทรกไปตลอดก็น่าสนใจครับ อย่างพ่อของแคลร์ที่เอารูปเธอให้ดั๊ก แล้วบอกว่าคุณควรรับไว้ เพื่อจะได้ไม่ลืมเธอ ก็เหมือนกัดตำรวจล่ะครับว่ามักจะมาสืบๆๆๆ แต่ซักพักพอมีคดีใหม่หรือพอคดีไขไม่ได้ก็จะลืมและไปทำคดีใหม่ทันที หรือจะการที่ดั๊กไปแอบชอบแคลร์ ผมว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงเท่าไหร่ล่ะครับ น่าเชื่อออก (ไปๆ มาๆ ทฤษำเวลานั่นแหละน่าเชื่อน้อยกว่าความรักระหว่างสองคนนี้อีก) เพราะดั๊กก็ชอบแคลร์อยู่แล้วน่ะครับ สนใจและปเนห่วงอยู่แล้ว ส่วนแควร์เองก็ประทับใจที่เขาช่วยชีวิต ตอนจบเรื่องเลยค่อนข้างลงตัวนะ แม้หนังทั้งเรื่องจะไม่ได้ทำให้ผมประทับใจเท่าที่ควร แต่ตอนจบครับ การสรุปของเรื่องมันโอเค ได้อารมณ์เหมาะสมดีมากๆ

แต่จะว่าไปมันแทบจะไม่ใช่อะไรที่เกี่ยวกับเดจาวูเท่าไหร่ครับ มันไปเน้นการสืบคดี การไขอดีตมากกว่า ตอนแรกผมนึกว่าจะเกี่ยวกับอาการเดจาวูของคน แล้วก็มาตามปม แต่ที่ไหนได้ไม่เกี่ยวเลยครับ มันหนังย้อนอดีตเหมือนเคยๆ น่ะแหละ อันนี้ถือเป็นความฉลาดแกมโกงหน่อยๆ ของคนสร้างนะครับ เอาเดจา วูมาใช้เราก็หลงนึกว่ามันจะเกี่ยวกับการสืบจากอาการทางจิต ที่ไหนได้ มันเกี่ยวกับเดจาวูแค่ติ่งๆ เท่านั้นเองครับ และมันออกจะไซไฟมากด้วย

บรรทัดสรุปแล้วนะครับพี่น้อง ก็หนังเป็นอะไรที่เดาได้ แต่ก็พอดูได้ครับ แม้จะไม่ใช่งานที่เด็ดสุดของ Tony Scott แต่ก็โอเค แต่ถ้าพูดอย่างแฟร์ๆ คือท่านจะรอดูแผ่นก็ได้ครับ เพราะมันไม่ได้สดจนต้องห้ามพลาด ถ้าเคยดูหนังที่เกี่ยวกับการ แก้อดีต มาแล้วผมว่าท่านก็จะได้ชมของเดิมๆ ซ้ำล่ะครับ

…หรือนี่คือความหมายที่แท้จริงของชื่อเรื่องว่า เดจา วู อาจจะแปลว่าคนดูเข้าไปดูแล้วเหมือนเดจา วูครับ เพราะฉากต่างๆ แนวเรื่องต่างๆ และการแก้ปมต่างๆ มันเหมือนจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน … (ก็หนังเรื่องอื่นๆ น่ะแหละ 5555)

แต่ก็นั่นแหละครับ สูตรเดิม เขาก็ทำได้น่าพอใจ เอาแค่ไปดูเฮีย Denzel แกก็โอเคเบตงแล้วล่ะครับ