เรื่องย่อ : Eastern Promises
นิโคไล ลูซิน (วิกโก้ มอร์เทนเซ็น) หนุ่มหล่อและลึกลับผู้ถือกำเนิดในรัสเซีย เป็นคนขับรถให้กับครอบครัวยุโรปตะวันออก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายหนึ่งในอันดับต้น ๆ ของลอนดอน ครอบครัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของแวดวงอาชญากรรมวอรี่ วี ซาโคเน่ ที่มีซีเมี่ยน (อาร์มิน มูลเลอร์) เป็นขาใหญ่นำทัพ เขาเป็นหนุ่มใหญ่ที่อาศัยเสน่ห์เหลือร้ายเปิดภัตตาคารอาหารรัสเซีย หรูหราบังหน้าองค์กรร้ายกาจและเลือดเย็น แต่องค์กรนี้กำลังสั่นคลอนเมื่ออำนาจจะถูกถอนถ่ายไปยังคิริล (วินเซ็นท์ แคสเซล) ลูกชายไม่เอาถ่านของซีเมี่ยนสืบทอด แต่คิริลกลับใกล้ชิดสนิทสนมกับนิโคไลมากกว่าพ่อของเขาเอง
นิโคไลพยายามรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด จนกระทั่งในช่วงคริสต์มาสที่เขาพบกับ แอนนา คิโทรว่า (นาโอมิ วัตส์) สูตินารีแพทย์ที่โรงพยาบาล North London Hospital แอนนาเศร้าโศกเสียใจมากที่ไม่อาจช่วยชีวิตหญิงสาววัยรุ่นขณะคลอดบุตรได้สำเร็จ แอนนาพยายามสืบหาญาติของทารกน้อยจากไดอารี่ของผู้เป็นแม่ แม้จะเขียนด้วยภาษารัสเซีย แต่เธอก็ได้คำตอบปริศนาหลายข้อ ในขณะที่ เฮเลน (ชินเนิร์ด คูแซ็ค) แม่ของแอนนาไม่ได้ขัดขวางภารกิจที่ลูกสาวของเธอมุ่งมั่นค้นหาคำตอบ แต่สเตพาน (เจอร์ซี่ สโคลิโมว์สกี้) ลุงอารมณ์ร้อนของแอนนาที่เกิดในรัสเซียเอ่ยปากเตือนให้เธอระวังตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งเขาก็ทำถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อแอนนาถลำลึกเข้าไปค้นหาข้อเท็จจริงตามที่ไดอารี่เขียนไว้ เธอก็ดันไปเปิดโปงความโสมมของ วอรี่ กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนได้ ในเมื่อ ซีเมี่ยน กับ คิริล ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ใกล้ตัว ส่วนแอนนาก็กดดันด้วยคำถามต่าง ๆ นานา นิโคไลจึงตกที่นั่งลำบากต้องเลือกระหว่าง ความสวามิภักดิ์ต่อองค์กร กับ ความรักภักดีที่มีต่อสาวคนรัก องค์กรเองก็เริ่มเพ่งเล็งพฤติกรรมของนิโคไล องค์กรที่ครั้งหนึ่งเขาเคยไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเขาจะยังไว้วางใจได้สนิทใจเช่นเดิมหรือไม่ ชีวิตของผู้คนมากมาย รวมทั้งตัวของเขาเองด้วย ต่างแขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อมีการอุ้มฆ่า, ล่อลวงลักพาตัว, และฆ่าล้างแค้นเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ซึ่งเชื่อมโยงมายังด้านมืดสุด ๆ ขององค์กรและมหานครลอนดอน อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
Eastern Promises จนจบ ผมอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะบรรยากาศของหนังโดยรวมกลับเบาสบายคลี่คลายในตอนท้ายอย่างคาดไม่ถึง เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็น และสัมผัสจากภาพยนตร์ของโครเนนเบิร์กมาก่อน (ถ้านับจากประสบการณ์อันน้อยนิดของผม) แน่นอน มันยังมีความรุนแรงแบบไม่มีหวงเนื้อหวงตัว (ฉากโรงอบซาวน่าที่ถึงเลือดถึงเนื้อ แถมกระปู๋พี่วิกโก้อีกสิบนาทีกว่าๆ เป็นแฟนเซอร์วิส =_=) แต่กระนั้น ตัวหนังสามารถขยายประเด็นที่ง่ายๆ ดูไม่สลักสำคัญ (และมองเผินๆ ก็ตลาดจ๋าเอาเสียเหลือเกิน) ให้กลายเป็นภาพรวมที่น่าติดตาม และมีความหนักหน่วงในตัวของมันเองได้อย่างเหนือชั้น ซึ่งก็เป็นข้อตอกย้ำว่าโครเนนเบิร์กยังคงเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนในด้านการเขียนบทและนำเสนอได้อย่างคมคายลึกซึ้ง และก็เชื่ออย่างยิ่งว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ หาได้ยากจนสุดเอื้อมถึงไม่ อย่างที่ใครหลายๆ คนอาจจะติดภาพของโครเนนเบิร์กจากเรื่องก่อนหน้านั้น
ก็คงจะเช่นเดียวกับเนื้อหาในภาพยนตร์ คุณแม่ยังสาวผู้เสียชีวิต ระหกระเหินร่อนเร่จากรัสเซียบ้านเกิด สู่มหานครลอนดอน หาใช่การแสวงหาเส้นทางที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า จะมีก็แต่เพียงความหวังถึงอนาคตที่สดใสที่ประทับไว้ในทุกขณะจิต.....
ความตั้งใจของแอนนา หาใช่การล้มล้างความชั่วร้ายหรือพิทักษ์คุณธรรมใดๆ เธอเพียงแค่ต้องการช่วยเหลือหนูน้อยกำพร้า ผู้เป็นสายใยเชื่อมโยงถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองที่ตายจาก......
สิ่งที่นิโคไลทำ หาใช่วีรกรรมของพระเอกขี่ม้าขาว เขาเพียงต้องการอะไรสักอย่างที่มาถ่วงดุลความกังขาในหน้าที่ ที่เส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ถูกกับผิดเริ่มลบร้างเลือนราง.....
สิ่งที่คิริลต้องการ หาใช่คำยอมรับจอมปลอมจากพ่อใจหินไร้ความเมตตา แต่เป็นการยอมรับตนเองในฐานะ ‘มนุษย์’ ที่ยังมีคุณค่า และไม่อาจมีสิ่งใดมาพรากไปได้
และเมื่อคำ ‘สัญญา’ ทั้งหลาย ถูกแผ้วถางด้วย ‘ทางแพร่งแห่งชีวิต’ ของผู้เกี่ยวข้องทุกคน สอดรับประสาน และเจือด้วยความปราถนาอันแรงกล้าเป็นที่ตั้ง…..
“เมื่อนั้น สิ่งเล็กๆ ที่ดูไม่สลักสำคัญ ก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า และความงดงาม ที่ยากจะบรรยาย…..”