IMDB : tt3289728
คะแนน : 8
สิ่งแรกที่ประทับใจมาก ๆ กับหนังเรื่อง Equals คือโปรดักชันดีไซน์ที่ล้ำสุดยอด (ออกแบบโดย Tino Schaedler นักออกแบบโปรดักชั่นที่สร้างชื่อจากผลงานชั้นยอดอย่าง Harry Potter, Charlie and the Chocolate Factory, V for Vendetta ฯลฯ) โลกยูโธเปียของเขาสวยมากกกกก เป็นเมืองในอนาคตในอุดมคติจริง ๆ สถาปัตยกรรมซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมากจากสถาปนิกชื่อดัง “ทาดาโอะ อันโด” ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือคอนโดของพระเอกคือสวยและน่าอยู่กว่าที่เห็นในเทรลเลอร์มาก ชอบความมินิมอล ทันสมัยแต่คลาสสิค แม้แต่คอสตูมก็ขาวเท่มินิมอล ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็หน้าสดและแต่งสูท unisex แบบเดียวกันตามยูนิฟอร์มสาขาอาชีพ ชอบมาก ส่วนสภาพแวดล้อมรอบนอกก็เขียวชอุ่ม รถยนต์ก็ไม่ใช้ ใช้รถไฟฟ้าแทน บนรถไฟฟ้าและตามตึกรามบ้านช่องก็จะมีหน้าจอดิจิตอลเหมือนหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลตตลอดทาง คนจะได้ไม่ต้องพกเครื่องมือสื่อสารกันคนละเครื่องสองเครื่อง โอ้โห นี่แหละ เมืองในอนาคตที่แท้จริง! นอกจากเขาจะทำฉากดี เลือกโลเกชั่นสวยแล้ว (หนังถ่ายทำที่ญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ ใช้กรีนสกรีนหรือ CG น้อยมาก) เรายังชอบเทคนิคและการถ่ายภาพแบบมินิมอลของเขาอีกด้วย พูดเลยว่านี่คือหนังแมสที่มีความอาร์ตสูงมาก ดูแล้วอยากจะแคปภาพมาลงไอจีซะทุกซีนเลย ซาวนด์ประกอบเขาก็เด่น บิลด์อารมณ์คนดูให้รู้สึกตามตัวละครได้ดีมาก ๆ ไม่ใช่แค่งานภาพและงานเสียงหรือเพลงประกอบ หากแต่นักแสดงนำทั้งสองก็ถ่ายทอดตัวละครออกมาได้ดีงามไร้ที่ติ โดยเฉพาะนางเอกสาว Kristen Stewart (จาก Twilight) นี่เล่นดีเกินคาด อาจเพราะนางบทของเธอคือมนุษย์ที่ถูกดัดแปลง gene จนเป็นคนที่ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก และขาดความเห็นอกเห็นใจ พูดเสียงโมโนโทน หน้าตายเหมือนหุ่นยนต์ ซึ่งเหมือนนางเล่นเป็นตัวเองก็ว่าได้ นี่แหละ way ของนางจริง ๆ ส่วน Nicholas Hoult พระเอกของเรื่องนี่ก็ไม่พูดถึงไม่ได้ เล่นดีตามมาตรฐาน แต่พอไม่ต้องแต่งเป็นตัวประหลาดเหมือนตอนเป็น Warboy ใน Mad Max: Fury Road, มนุษย์กลายพันธ์ Beast ใน X-Men: Days of Future Past, หรือซอมบี้ใน Warm Bodies แล้วคือหล่อไม่บันยะบันยัง! ในส่วนของเรื่องราวหรือเส้นเรื่องของหนังนั้น Nathan Parker นักเขียนบทจากเรื่อง Moon หนังไซไฟที่บทสรุปพีคระดับตำนาน ทำให้ Equals เป็นหนังรักที่เชยแต่ล้ำ กล่าวคือ ถึงแม้พล็อตโดยรวมจะเป็นรักน้ำเน่าเชย ๆ ตามสูตรรักต้องห้ามสไตล์ Romeo & Juliet แต่ก็เป็นหนังรักที่ผสมความเป็น Sci-Fi ลงไป โดยในส่วนของพล็อต Sci-Fi นั้น ก็ไม่ได้ใหม่อะไร ก็เหมือน ๆ The Giver ตรงที่รัฐบาลใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทำให้คนในสังคมไม่มีความรู้สึก แล้วคนที่มีอารมณ์ มีความรู้สึก หรือมีอาการ SOS จะถูกจัดเป็นผู้ป่วยผิดปกติเหมือนคนที่เป็น Divergent ใน Divergent แต่หนังได้พ่อมดแห่งหนัง Sci-Fi อย่าง Ridley Scott (The Martian, Prometheus, Alien ฯลฯ) เป็นผู้อำนวยการสร้างทั้งที แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้เชยขนาดนั้นอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีความ Romeo & Juliet แต่ก็เป็น Romeo & Juliet ในเวอร์ชั่นโลกยูโธเปีย มีการใส่ลูกเล่นดัดแปลง ไม่ได้ตามสูตร 100% เด๊ะ ๆ มันก็มีอะไรมากกว่านั้น ต้องไปดูเอง ถ้าเข้าใจและอินไปกับมัน บอกเลยว่า คุณปวดร้าวแน่ ๆ การเล่าเรื่อง ข้อเสียคือเขาเล่านิ่ง ๆ เนิบ ๆ ยอมรับว่าแรก ๆ แอบเบื่อ แอบง่วง แต่พอดูไปกลาง ๆ เรื่อง ช่วงที่พระนางเริ่มออกอาการว่ารักกันแล้ว ก็เริ่มดูเพลิน ๆ ซึ่งหากมองอีกมุม มันก็เป็นข้อดีหรืออาจเป็นเทคนิคหรือความตั้งใจของคนทำหนังเขาก็ได้ เพราะความนิ่งนั้นเอง ทำให้เรารู้สึกว่า โลกที่มนุษย์เราต่างไร้อารมณ์และความรู้สึกนั้น มันช่างน่าเบื่อเอามาก ๆ ซึ่งทำให้เรารู้สึกยินดีที่ในวันนี้เราทุกคนต่างมีความรู้สึก ไม่ว่าจะรัก โกรธ เกลียด หรือเสียใจ แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเขารัก โกรธ เกลียด หรือเสียใจกับเรานะ อะไรแบบนี้ ดังนั้น ถึงแม้ในพารากราฟข้างต้น เราจะอวยโลกอนาคตในหนังมากมายเพียงไหน แต่เราก็ไม่ได้ชอบโลกอนาคตแบบในหนังนั้นซะทุกอย่างเสมอไป โดยส่วนตัวเรายังคิดว่าการสื่อสารหรือการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้คนยังสำคัญอยู่ ถ้าอยู่กันแบบไร้อารมณ์และความรู้สึก โอเค มันอาจไม่มีปัญหาความขัดแย้งหรือสงครามกลางเมืองก็จริงอยู่ แต่เราก็ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว และไม่มีคู่ตุนาหงันให้ฟีเจอริ่งกันด้วยนะ (การสืบพันธุ์ใช้การเกณฑ์ผู้หญิงไปตั้งครรภ์เหมือนเกณฑ์ทหาร) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์หรือความรักในโลกนั้นจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ message หนึ่งที่หนังต้องการจะสื่อกับคนดูอย่างพวกเราก็คือความสัมพันธ์นี่แหละ กล่าวคือหนังบอกเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกสามารถเติบโตกลายเป็นสิ่งอื่นได้ และความรักก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งสำคัญจึงเป็นเรื่องของการฝ่าฟันอุปสรรคในความสัมพันธ์ การรักษาความสัมพันธ์ และเมื่อถึงจุดสุดท้ายของความสัมพันธ์…เราจะทำอย่างไรให้ไม่ลืมวันที่เราตกหลุมรักกันครั้งแรก และจะประคองกันไปได้ไกลแค่ไหน เช่น สมมติว่าถึงจุดนึงที่คนนึงเขาไม่รู้สึกแล้ว เราซึ่งยังรู้สึกอยู่… จะรับมือกับความเจ็บปวดนั้นอย่างไร