ค้นหาหนัง

GoldenEye | พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก [James Bond: Pierce Brosnan]

หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น
GoldenEye | พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก [James Bond: Pierce Brosnan]
เรื่องย่อ : GoldenEye | พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก [James Bond: Pierce Brosnan]

ภารกิจบอนด์ในเรื่องนี้คือการแกะรอย ดาวเทียม โกลเด้นอาย ที่หายไป โดยที่เขามีความหลังเพื่อนสายลับเสียชีวิตในระหว่างทำภารกิจเก่าในโซเวียต สืบเสาะหาความจริงไปมาเขากลับรู้ความจริงว่าเบื้องหลังที่แท้จริงมันคือการจัดฉากของ 006 อเล็กซ์ เทรเวรยัน เพื่อนตัวเองที่ต้องการแก้แค้นอังกฤษ โดยใช้ดาวเทียมที่ขโมยมาถล่มเมืองผู้ดี หนังพยายามทำให้ตัวร้ายมีความเหนือชั้น ในวางแผนยึดครองโลกแบบเป็นขั้นเป็นตอน

IMDB : tt0113189

คะแนน : 8



เมื่อ Licence to Kill บอนด์ภาคก่อนหน้าไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนักในตลาดอเมริกาทำให้แผนการสร้างบอนด์ตอนใหม่ถูกชะลอ และยิ่งชะลอหนักขึ้นไปอีกเมื่อบริษัท MGM/UA ผู้จัดจำหน่ายหนังชุดนี้มีปัญหาพิพาทกับบริษัท Danjaq ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ EON เจ้าของสิทธิ์หนังบอนด์

เรื่องวุ่นๆ เริ่มราวปี 1989 เมื่อ MGM/UA ประสบปัญหาทางการเงินทำให้ถูกขายให้กับกลุ่มทุนวิทยุโทรทัศน์ของออสเตรเลียที่ชื่อ Qintex แล้วพอดีว่าบริษัทนี้มีความเกี่ยวดองกับ Pathé บริษัทำหนังยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส แล้วทีนี้ Pathé เกิดปิ๊งไอเดียว่าจะเอาหนังบอนด์มาทำเป็นซีรี่ส์ทางทีวีแทน

แต่แน่นอนครับว่า Danjaq กับ EON ค้านหัวชนฝาจนทำให้คดีชิงสิทธิ์หนังบอนด์ไปถึงศาลอีกครั้ง (แต่ครั้งนี้กลายเป็นศึกภายในแทน และผลสรุปก็คือทาง Danjaq เป็นผู้ชนะไป)

ระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาลงานสร้างบอนด์ตอนใหม่ก็ยังค่อยๆ ดำเนินไปเท่าที่จะทำได้ โดยตอนนั้น Timothy Dalton ซึ่งได้เซ็นสัญญาไว้ว่าจะเล่นหนังบอนด์ทั้งหมด 3 ตอน โดยเขาเองก็ยังต้องการจะรับบทบอนด์อยู่ และสิ่งที่พอจะทำได้คือการเขียนบทครับ โดยทีมผู้สร้างตั้งใจว่าครั้งนี้จะไม่ใช้บริการของ Richard Maibaum มือเขียนบทขาประจำของหนังชุดนี้ แต่จะใช้ทีมงานใหม่มาแทน (แล้วในปี 1991 Maibaum ก็จากโลกนี้ไปครับ ขอแสดงความไว้อาลัย ณ ทีนี้ด้วยนะครับ)

คนเขียนบทที่ได้รับมอบหน้าที่สร้างเรื่องบอนด์ตอนใหม่ก็คือ Michael France เจ้าของบทหนังแอ็กชันบู๊บนยอดเขาเต็มไปด้วยหิมะอย่าง Cliffhanger มาจัดการเรื่องบท ซึ่งครั้งนี้เขาต้องด้นเรื่องเองล้วนๆ โดยไม่อิงกับนิยายหรือเรื่องสั้นใดๆ ของ Ian Fleming อีกต่อไป

พอมีคนเขียนบทก็ได้มีการวางแผนเรียบร้อยว่าจะถ่ายทำราวกุมภาพันธ์ ปี 1994 แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ได้ถ่าย เพราะบทที่ France เขียนออกมาดันไปละม้ายคล้ายหนังบู๊ของ James Cameron เรื่อง True Lies (1994) ผู้สร้างจึงตัดสินใจปรับบทใหม่ แต่พอช้าไปช้ามา Dalton ก็ทนไม่ไหว ขอโบกมืออำลาเลิกสัญญาไปทำอย่างอื่นแทน

เมื่อเรื่องยิ่งเกิดเยอะทีมงานจึงไม่อยากรอช้าอีกต่อไปครับ พวกเขาเลยแบ่งงานกันทำ พวกหนึ่งหาคนมาช่วยเกลาบท ก็ได้ Jeffrey Caine กับ Bruce Feirstein มารับหน้าที่ และ Kevin Wade นักเขียนบทหนังเบาๆ อย่าง Mr. Baseball (1992) และ Junior (1994) มาช่วยลดความแข็งกร้าวของบท ให้ออกมาแบบหนักแน่นแต่ก็สามารถดูได้ทุกวัย ไม่หนักจนเกินไป

ด้านคนมารับบทบอนด์แทน Dalton ทีมงานก็หมายตา Liam Neeson, Mel Gibson, Sam Neill, Hugh Grant และ Lambert Wilson (พี่เมโรวิงเจี้ยนแห่ง The Matrix สองภาคหลังนั่นยังไงล่ะครับ) แต่พอชื่อดาราคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา คนอื่นก็หมดสิทธิ์ไปในทันที เขาคือ Pierce Brosnan ที่ได้รับการหมายตามานาน พอเช็คคิวแล้วพี่ท่านว่าง ผู้สร้างก็จับมาเซ็นสัญญาสวมชุดทักซิโด้ ยัดปืนใส่มือให้เป็นบอนด์ทันที

ส่วนผู้กำกับนั้น ตอนแรกทาง MGM/UA หมายมั่นปั้นมือจะให้ John Woo มากำกับให้ เพราะตอนนั้นวงการหนังแอ็กชันกำลังตื่นตาลีลาผลงานบู๊กระหน่ำกระสุนของเขามากๆ แต่ Woo เองก็เป็นฝ่ายปฏิเสธไป เพราะเขาคิดว่าแนวทางสไตล์ของเขายังไม่น่าจะเข้ากับสไตล์หนังเจมส์ บอนด์ 007 ได้ อีกทั้งตอนนั้นเขาเพิ่งเข็ดเล็กๆ จากการร่วมงานกับบริษัทฮอลลีวู้ด (หนังเรื่องที่ว่าก็คือ Hard Target) แต่แม้เขาจะบอกปัด เขาก็ยังกล่าวขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ทาง MGM ให้ความสนใจในตัวเขา และในที่สุดผู้สร้างก็หันไปเลือก Martin Campbell ผู้กำกับหน้าใหม่ชาวนิวซีแลนด์แทน

ในปฏิบัติการครั้งที่ 17 ของบอนด์ว่าด้วยการตามรอยแผนร้ายขององค์กรยานัส ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังคือ อเล็ก เทรเวลยัน (Sean Bean) อดีตสายลับ 006 ที่ผันตัวกลายเป็นมหาวายร้ายที่คิดจะปล้นโลกทั้งใบโดยใช้ดาวเทียมโกลเด้นอาย บอนด์จึงต้องขัดขวางพร้อมรับมือกับนักฆ่าสาวสุดเซ็กซี่อย่างซีเนีย โอนาท็อปป์ (Famke Janssen) ไปพร้อมๆ กัน

ถือเป็นการกลับมาที่ยอดเยี่ยมครับ หนังมาพร้อมสไตล์สายลับที่หนักแน่นแต่ก็ไม่ได้เครียดเกินงาม มีแอ็กชันฉากโชว์สตันท์เยี่ยมๆ เพียบครบสูตรหนังบอนด์ ส่วน Brosnan ก็ไม่ทำให้ Albert R. Broccoli ผิดหวัง เขาสวมบทบอนด์ได้อย่างลงตัว ผสมผสานความเข้มแบบ Sean Connery มีอารมณ์ขันร้ายๆ แบบ Roger Moore และแฝงลักษณะนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นผสมดราม่าแบบ Timothy Dalton (แต่ไม่หนักเท่า) พร้อมเสน่ห์เอกบุรุษในแบบของเขาเอง จนแฟนหนังบอนด์ยอมรับชายคนนี้แบบสบายๆ

เนื้อเรื่องก็ครบสูตรบอนด์ครับ มีฉากถล่มฐานทัพที่อลังการ มีฉากบู๊ที่กระหน่ำมาเรื่อยๆ กับปฏิภาณไหวพริบของบอนด์ที่แพรวพราวใช่เล่น

หนังยังมีความสดใหม่ใส่ลงไป นั่นคือตัวละคร M หัวหน้าของบอนด์ที่แต่ไหนแต่ไรเป็นผู้ชายมาตลอด ก็เปลี่ยนเป็นผู้หญิง (รับบทได้อย่างน่าจดจำมากๆ โดย Judi Dench) ซึ่งถือว่าปรับเนื้อเรื่องได้อย่างทันสมัย เพราะเมื่อปี 1992 ประเทศอังกฤษได้มีการแต่งตั้ง Stella Rimington ซึ่งเธอคือผู้หญิงคนแรกที่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วย MI5 (หน่วยที่ทำงานปกป้องดูแลภายในประเทศอังกฤษ)

และคนที่เสนอให้ M เป็นผู้หญิงก็คือผู้กำกับ Campbell นั่นแหละครับ ซึ่งเขาก็ตั้งใจจะให้ M คนนี้เป็นกระบอกเสียงเพศหญิงวิจารณ์บอนด์ไปในตัว ซึ่งเธอก็เพิ่มสีสันให้กับหนังได้อย่างดีครับ

ดาราส่วนมากทำหน้าที่ได้ดี อย่าง Bean นี่ก็ไปได้สบายครับกับบทวายร้ายอำมหิตเจ้าแผนการ, Janssen ก็เซ็กซี่สุดร้ายกาจ จนไม่น่าแปลกใจที่เธอจะแจ้งเกิดไปเต็มๆ จากบทแม่หญิง “ออน นา ทอป” คนนี้ (ลองไปค้นความหมายแฝงของนามสกุลเธอดีๆ นะครับ

บทสมทบอย่าง แจ็ค เวด CIA ที่มาเพื่อช่วยบอนด์และเหมือนเป็นตัวแทนของเฟลิกซ์ ไลเตอร์ รายนี้ก็เพิ่มเสียงหัวเราะให้หนังได้พอตัว ซึ่งผู้รับบทนี้คือ Joe Don Baker ที่เคยแสดงเป็นตัวร้ายในหนังบอนด์ตอน The Living Daylights มาแล้ว, Alan Cumming ก็ไปได้ดีครับกับบทบอริส กริชแชงโก้ เซียนคอมตัวร้ายที่หลงตัวเองแบบสุดๆ, Samantha Bond ก็มาแสดงเป็นมิสมันนี่เพนนี ที่ทำหมาหยอกไก่กับบอนด์ได้ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผมก็ชอบลีลาของเธอเหมือนกันครับ และที่ลืมไม่ได้คือ Q ที่ยังคงแสดงโดย Desmond Llewelyn เช่นเดิม

แต่ที่ออกจะประหลาดใจคือบทสาวบอนด์ นาตาลญ่า (Izabella Scorupco) ที่ทำท่าจะเด่นแต่กลับไม่เชิงเด่น จริงๆ เธอเป็นสาวบอนด์ที่เก่งและแกร่งนะครับ แต่เหมือนการวางบทวางตำแหน่งในเรื่องของเธอมันยังดีได้อีกยังไงก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจดจำกว่าสาวบอนด์หลายๆ คนก่อนหน้านี้ล่ะครับ

GoldenEye ทำเงินรวมทั่วโลก $350 ล้าน คุ้มทุนสร้าง $58 ล้านอย่างที่สุด แล้วที่ฮือฮาคือรายได้เปิดตัวในอเมริกาที่ทำไป $26,205,007 สังเกตเลขสามตัวหลังสิครับ ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจล็อกเลขหรือไม่

แล้วบอนด์ก็ได้กลับมาอย่างเต็มตัว และ Brosnan ขึ้นทำเนียบดาราดังอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเพลงประกอบที่ร้องโดย Tina Turner ก็ไพเราะได้จังหวะกำลังเหมาะ ปลุกอารมณ์หนังสไตล์บอนด์กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง

โดยส่วนตัวแล้วผมก็ชอบบอนด์ภาคนี้ครับ มันเข้มข้นน่าติดตาม ฉากแอ็กชันถึงใจ และบรรยากาศก็คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นอายแห่งยุคหลังสงครามเย็นที่มิตรอาจกลายเป็นศัตรู ขณะเดียวกันศัตรูก็อาจผันตัวมาเป็นมิตรเราได้หากมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเอี่ยว

อีกทั้งการจิกกัดระบอบระบบเก่าๆ ที่ส่วนหนึ่งก็เป็นที่มาของผลเสียมากมายในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะการเล่นสงครามเย็นจนคนไม่ค่อยจะไว้ในกันอีกต่อไป, จิกกัดบั้นปลายของคนที่ทำงานเป็นสายลับที่หลายรายมักจะต้องจบชีวิต หรือไม่ก็มีชีวิตแต่อยู่แบบตายทั้งเป็น และหนังยังเข้าสมัยพอตัวสำหรับการผูกเรื่องแผนร้ายของเทรเวลยัน เข้ากับสิ่งที่ดาวเทียมโกลเด้นอายสามารถทำได้

สรุปว่าชอบครับ ไม่ผิดหวังนะ สมหวังเป็นส่วนใหญ่ ครบทั้งความเข้นแบบหนังสายลับข้นๆ และแอ็กชันระเบิดระเบ้อ ไหนจะสาวๆ ที่ถือว่าสวยงามกันไม่ใช่น้อยๆ

และนี่คือบอนด์ตอนสุดท้ายที่ Broccoli ได้ชมครับ เพราะเขาเสียชีวิต 7 เดือนหลังจากหนังออกฉาย ก็ขอไว้อาลัยผู้เริ่มต้นสร้างสรรค์บอนด์ฉบับหนังใหญ่มา ณ ที่นี้ด้วยครับ