IMDB : tt10665338
คะแนน : 6
ในปี 2018 ผู้กำกับเดวิด กอร์ดอน กรีน (David Gordon Green)ได้รับมอบหมายให้หยิบตำนาน Halloween มาปัดฝุ่นใหม่ หลังจากที่ ร็อบ ซอมบี้ (Rob Zombie) เคยพยายามมาแล้วแต่ก็ไปได้แค่ 2 ภาค Halloween (2007) และ Halloween II (2009) เพราะหนังได้เสียงตอบรับไม่ดีนัก เดวิด กอร์ดอน กรีน ก็ประกาศไว้ชัดเจนว่าจะสร้างหนังออกมาเป็นไตรภาคและปิดตำนาน ไมเคิล มายเออร์ ในภาคหน้า Halloween Ends วางกำหนดฉายไว้แล้วในปี 2022
หนัง Halloween (2018) เปิดตัวได้อย่างสวยงาม แม้ว่าจะเป็นภาคที่ 11 แต่หนังก็ย้อนไปเล่าเรื่องราวต่อจาก Halloween (1987) ที่ทิ้งช่วงห่างกันยาวนานถึง 40 ปี และก็เล่าเรื่องราวได้อย่างน่าติดตาม จัดวางสัดส่วนดราม่าและสยองขวัญได้อย่างลงตัว ปูทางไปถึงฉากไคลแมกซ์ได้อย่างสุดระทึก ทำให้ Halloween (2018) เป็นอีก 1 ภาคที่ได้คะแนนมะเขือเทศสด 79% ตามหลังแค่ภาคปฐมบทที่ได้ไป 96% พอเว้นช่วงมา 3 ปี Halloween Kills ภาคล่าสุดนี้ก็ตามออกมาพร้อมกับความคาดหวังของคนดูว่าหนังจะต้องมีคุณภาพได้ใกล้เคียงกับภาคที่แล้ว แต่ผลออกมากลับน่าผิดหวัง เพราะเนื้อหาแทบจะไม่เดินหน้า เหมือนกับออกมาทำหน้าที่เป็นแค่ภาคคั่นเวลา เชื่อมต่อภาคแรกกับภาคอวสานเท่านั้น
ดูเหมือนว่าทีมเขียนบทกลุ่มเดิมที่ประกอบไปด้วย เดวิด กอร์ดอน กรีน, แดนนี่ แม็กไบรด์ และ เจฟ แฟรดลีย์ อยากจะเอาใจแฟนเดนตายของแฟรนไชส์ Halloween ก็ไปขุดเอาทีมนักแสดงจาก Halloween ภาคแรกปี 1978 และ Halloween II (1981) หลายคนกลับมาเล่นในบทบาทเดิม ทำให้หนังจำเป็นต้องหมดเวลาช่วงต้นไปหลายนาทีเพื่อแทรกภาพแฟลชแบ็กแนะนำตัวละครเหล่านี้ว่าเป็นใครกันบ้าง ก็ไม่รู้นะว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้แฟนเดนตายดีใจกันไหม กับการได้เห็นตัวละครที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมายเลยในภาคแรก ๆ แล้วกลับมาปรากฏตัวบนจออีกครั้งใน 40 ปีต่อมา ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ทำหน้าที่แค่เป็นเหยื่อให้กับมายเออร์แค่นั้น
ทีมเขียนบทคงจะรู้ละว่าเนื้อหาในภาคนี้มันเบาเกินไป ก็เลยพยายามจะสอดแทรกสาระเข้ามา ด้วยการถ่ายทอดภาพชาวบ้านลุกฮือกันด้วยความโกรธแค้น กลายเป็นความโกลาหลจนตำรวจควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ฝูงชนตามไล่ล่าผู้ต้องสงสัยที่พวกเขาคาดเดาว่าเป็นไมเคิล มายเออร์ สุดท้ายก็ลงเอยอย่างน่าสยดสยอง สารที่สื่อในฉากนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า คนเราล้วนก็มีความบ้าคลั่งในฐานะผู้ล่าไม่ต่างกับไมเคิล มายเออร์ ที่จริงแค่นี้ก็สื่อได้ชัดแล้ว แต่บทก็ยังต้องยัดเยียดให้ตัวละครพูดคำนี้ออกมาอีกด้วย
ในช่วงไคลแมกซ์ บทหนังเขียนให้ไมเคิล มายเออร์ ต้องเจอกับสถานการณ์คับขันที่สุดที่มันเคยเผชิญมา ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะรอดละ ซึ่งน่าติดตามล่ะว่า เมื่อทีมเขียนบทตั้งโจทย์ยาก ๆ ให้ไมเคิลเจอสถานการณ์แบบนี้แล้ว จะหาทางเขียนให้ไมเคิล มายเออร์ รอดมาได้อย่างไร เพราะนี่ยังไม่ใช่ภาคอวสาน แต่แล้วบทหนังก็เขียนให้มายเออร์พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบเฉย ๆ ซะงั้น แบบไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย อย่างว่าละเพราะเขียนโจทย์มายากเกินไปนี่นะ
ถึงตรงนี้ก็หวังได้เพียงว่าใน Halloween Ends ทีมเขียนบทจะปิดตำนาน Halloween ได้สวย กลับมาได้มะเขือเทศสดอีกสักภาค แต่สำหรับภาคนี้นั้น ก็ทำหน้าที่ได้เพียงหนังเอาใจคอหนังเชือดอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น เพราะหนังอุดมไปด้วยฉากฆ่าเหยื่อที่สุดโหด ให้ดูกันแบบจุใจ ไม่เน้นตุ้งแช่มากนัก ถ้าจะมีสะดุ้งก็จะเป็นสะดุ้งเพราะเสียงประกอบมากกว่าภาพบนจอ ส่วนเนื้อหาในภาคนี้นั้น ถ้าข้ามไปดูภาคจบเลย ก็คาดว่าดูรู้เรื่องเป็นแน่ เพราะเป็นภาคที่แนะนำตัวละครใหม่ขึ้นมาให้มายเออร์ฆ่า ฆ่า ฆ่า แล้วก็จบไปแบบไม่มีอะไรให้น่าจดจำ