IMDB : tt0395169
คะแนน : 9
หนังมีส่วนผสมของทั้ง Schindler’s list (ความพยายามช่วยเหลือผู้ถูกรุกรานเข่นฆ่า โดยเอาตัวเองและความสามารถในเชิงธุรกิจเข้าเสี่ยง) กับ Life is beautiful (ความรักในครอบครัว) ในเรื่องแรก Oskar Schindler ช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่ได้มีเรื่องของครอบครัวตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้อง ในขณะที่เรื่องหลังทุกสิ่งที่ตัวเอกทำคือทำเพื่อครอบครัว
ส่วนใน Hotel Rwanda Paul เริ่มต้นทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ก่อนที่จะตัดสินใจทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถึงแม้ตอนเริ่ม หนังจะไม่ได้แสดงให้ Paul ดูเป็นคนที่ดีเสียสละทำอะไรให้คนอื่นๆ แต่คนเขียนบทสามารถทำให้ทำให้เชื่อว่า เขาเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงามซ่อนอยู่ภายใน
ทำให้เราเชื่อมั่นว่าเขาน่าจะทำในสิ่งที่ดีให้กับเพื่อนร่วมชาติ และ บทก็ทำให้การตัดสินใจของเขาที่ทำลงไปในการช่วยคนนั้น ดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ มีพัฒนาการอย่างสมเหตุสมผล เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมากกว่าดูเป็นHero ตั้งแต่เริ่มแรกเหมือน Oskar Schindler
หลายฉากที่ดูแล้วมันรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากรถบัสที่มารับคนในโรงแรมกลับไป แต่คนที่รับไปเป็นเพียง นักท่องเที่ยวหรือคนผิวขาว ปล่อยให้คนที่เหลือรอความตายไปต่อหน้าต่อตา แม้คนที่ได้รอดไปจากสมรภูมิจะทำเต็มที่เท่าไหร่ เช่นตัวละครหนึ่งพยายามจะให้เงินเท่าที่มีกับคนที่เหลืออยู่ แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย หรือ อีกฉากหนึ่งที่ Paul พบว่าสงครามเลวร้ายกว่าการทำธุรกิจอย่างเทียบกันไม่ได้
ผมชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า Schindler’s list เรื่องนั้นเป็นหนังที่ดี แต่ดูแล้วก็ยังห่างไกลตัวเอง รู้สึกเหมือนกับการดูหนังเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ได้คือได้ดูหนังดีและรู้สึกว่าสงครามเป็นสิ่งที่โหดร้าย Oskar Schindlerเป็นคนดี เพียงเท่านั้น แต่กับ Hotel Rwanda การที่ได้ดูหนังมันทำให้รู้สึกใกล้ความจริงมากกว่าความเป็นหนัง หนังเรื่องนี้ให้อะไรมากกว่าการสื่อสารว่า “การฆ่ากันช่างโหดร้าย” หนังทำให้จิตใจคนดูอย่างผมไม่ได้รู้สึกแค่ว่า Paul เป็นคนดี แต่ มันยังกระตุ้น ต่อมอยากทำดี เกิดความรู้สึกอยากเป็นอยากเอาอย่างตามตัวเอกทำถ้าเราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น