ค้นหาหนัง

King Arthur: Legend of the Sword | คิง อาร์เธอร์ ตำนานแห่งดาบราชันย์

King Arthur: Legend of the Sword | คิง อาร์เธอร์ ตำนานแห่งดาบราชันย์
เรื่องย่อ : King Arthur: Legend of the Sword | คิง อาร์เธอร์ ตำนานแห่งดาบราชันย์

ตำนานสุดคลาสสิคของกษัตริย์อาเธอร์ในรูปแบบการนำเสนอใหม่ๆของผู้กำกับ กาย ริชชี่ เล่าเรื่องชีวิตของอาร์เธอร์ตั้งแต่ชีวิตคนธรรมดาจนถึงการขึ้นครองบัลลังก์ เมื่อพ่อของอาร์เธอร์ถูกฆ่าตาย ลุงของเขาก็ช่วงชิงบัลลังก์มาครอง เขาต้องระเห็จและอยู่ด้วยความยากลำบาก แต่เมื่อเขาสามารถดึงดาบเอกซ์คาลิเบอร์จากหินขึ้นมาได้ ก็เหมือนชะตาฟ้าได้ลิขิตแล้วให้เป็นราชา ชีวิตเขาได้พลิกผันและเขาได้พบกับชะตาชีวิตที่แท้จริงของตัวเขาเอง

IMDB : tt1972591

คะแนน : 7



หนังเท่ เท่แบบนึกว่าดูโฆษณาเสื้อผ้าผู้ชายแบรนด์ดัง ๆ ตัวละครมีเสน่ห์มาก ขนาดมาเยอะยังจำได้แทบทุกตัว ภาพก็เท่ถ่ายแบบวางเฟรมได้ประณีตมาก ชุดฉาก การแสดง ซีจี มันเท่ไปหมด เหมือนผู้กำกับเอาความเท่ทำอาหารให้ทีมงานนักแสดงกินแทนขนมปังกันเลยทีเดียว จากที่ไม่คิดจะสนใจพระเอกหนังฟอร์มยักษ์คนใหม่อย่าง ชาร์ลี ฮันนัม กลายเป็นประทับใจไปเลยตอนนี้ การตัดต่อกับการเล่าเรื่องยังเน้นสไตล์ว่องไว พริ้วจัดเหมือนมูฮัมหมัด อาลี แถมมีความกวนระดับไม่ธรรมดาพ่วงไปอีก คือคนดูหนังยุคใหม่นี้น่าจะปลื้มเลยล่ะ แต่คนที่ดูอะไรไว ๆ ไม่ทันคงเป็นปัญหาเพราะแค่เปิดเรื่องไม่ถึงห้านาที เล่าเรื่องความเดิมไปเยอะมากจนแปลกใจว่าใครไม่รู้จักคิง อาร์เธอร์มาก่อนจะงงมั้ย แต่พอเข้าโหมดเล่าเรื่องปกติก็สมูธมาก มีการกลับไปทวนฉากเปิดบ่อย ๆ ทำให้เคลียร์ขึ้น แถมมีอะไรให้ตะลึงเรื่อย ๆ ด้วย สุดท้ายที่ขอกราบคือดนตรีประกอบ นี่คือสิ่งที่พวกท่าน ๆ สมควรต้องเข้าไปฟังในโรงที่ระบบเสียงดี ๆ จริง ๆ เลยล่ะ หนัง คิง อาร์เธอร์ มีการสร้างมาแล้วนับไม่ถ้วนเลยครับ อย่างเวอร์ชั่นที่นึกออกหลังสุดก็เป็นฉบับสงครามของผู้กำกับสายบู๊อย่าง อังตวน ฟูกัว เมื่อปี 2004 แต่ถ้านับย้อนไปเรื่องแรกที่เอาวงศ์อาร์เธอร์มานำเสนอก็ต้องเป็นหนังเงียบยุคของบริษัทถ่ายหนังเอดิสันคอมพานี เรื่อง Parsifal (1904) ที่นำบทละครว่าด้วยเรื่องราว เปอร์ซิวาล อัศวินคนสำคัญผู้ค้นพบจอกศักดิ์สิทธิ์มานำเสนอ โดยเป็นผลงานประพันธ์ของนักคีตกวีก้องโลกอย่าง ริชาร์ด แว็กเนอร์ ในปี 1882 ที่ต้องเกริ่นมาขนาดนี้เพราะต้องบอกว่าส่วนใหญ่หนังและสื่ออื่น ๆ มักจะเน้นไปที่เรื่องราวการได้ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ของคิง อาเธอร์, การผจญภัยของอัศวินโต๊ะกลมต่าง ๆ, พลังมหัศจรรย์ของพ่อมดแห่งยุคอย่างเมอร์ลิน และเรื่องราวความรักต้องห้ามของแลนเซล็อตกับพระราชินี อะไรเทือกนี้ครับ แต่มาคราวนี้เราจะได้อิ่มหนำกับการเปิดตำนานบทใหม่ที่ว่ากันตั้งแต่ชาติกำเนิดของอาร์เธอร์เลยทีเดียว หนังอาร์เธอร์ฉบับของ กาย ริทชี่ ผู้เคยฝากผลงานเปี่ยมสไตล์สุดมันอย่าง Snatch (2000) และ Sherlock Holmes ที่มีโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เล่นทั้ง 2 ภาคนี้ ถ้าให้สรุปง่าย ๆ คือหนังอาร์เธอร์ที่เฟี้ยวฟ้าวที่สุดตั้งแต่เคยมีการสร้างกันมาเลยทีเดียวครับ ถ้าใครเคยดูงานยุคหลังของผู้กำกับคนนี้ น่าจะชินกับความเป็นเจ้าแห่งสไตล์ของเขาแล้ว ทั้งการใช้สโลว์โมชั่น การตัดฉากสนทนาแบบรัว ๆ รวมถึงความเท่แบบประดิษฐ์ที่ทำให้ต้องจ้องมองดูการออกแบบฉาก, เสื้อผ้า, คาแรกเตอร์อย่างไม่กระพริบตาเลย ยังกับเอานายแบบหลุยส์ วิตตอง, อาร์มานี่, คาลวิน ไคลน์ มาเดินโฉบเฉี่ยวชนกันในฉากยุคกลาง แถมเฟรมภาพการแสดงทำสวยราวกับโฆษณาหรู ๆ เลยทีเดียว คือมันประดิษฐ์ล่ะ แต่ทำแล้วเท่ไง คือสารภาพเลยว่าระหว่างนั่งดูสบถในใจว่า “เท่อิ๊บอ๋าย” ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนหนังจบ เท่ค่อด ๆ หนังเรื่องนี้ ข้อดีของหนังอีกข้อที่ผมปลื้มมาก ๆ และคิดว่าสมควรแก่การไปดูในโรง คือคุณภาพภาพซีจีที่เนียนกริ๊บ (ยกเว้นฉากพยากรณ์ที่ดูจงใจให้ลอย ๆ) การดีไซน์ของงานภาพที่งดงามสุด ๆ เหมาะกับการดูจอใหญ่ ๆ และอีกอย่างคือคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมมาก ทุกครั้งที่ดนตรีประกอบขึ้นมาผมรู้สึกหนังสนุกขึ้นไปอีก สามสี่เท่าเลยทีเดียว เพลงฮึกเหิมได้อารมณ์ยุคกลางแถมโมเดิร์น คือเจ๋งมาก ต้องไปฟังในระบบเสียงดี ๆ จริง ๆ แล้วก็หนังบาลานซ์ความน่ามองได้ดีครับ คือตัวละครชายนี่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดมากขนาดบางตัวเห่ย ๆ พอมายืนรวมกัน ยังกับนายแบบบนแคทวอล์กเฉยเลย คือคนดูสาว ๆ คงเปรมครับ ฝั่งคนดูผู้ชายถึงตัวละครสาว ๆ จะน้อยแต่น้อยคุณภาพครับ อย่าง แอนนาเบล วอลลิส งี้ หรือแอสทริด เบอร์เจส-ฟริสบี นี่ก็มีเสน่ห์ประหลาดมากครับ ยิ่งมองเธอยิ่งดูดี จนสุดท้ายกลายเป็นต้องจ้องเธอตลอดเลยทุกครั้งที่ออกมา สรุปผู้ชายผู้หญิงดูได้เพลินหมดเลยครับ