ค้นหาหนัง

Let Them All Talk

Let Them All Talk
เรื่องย่อ : Let Them All Talk

อลิซ ฮิวจ์ นักเขียนนิยายรางวัลพูลิตเซอร์วัยชราที่มีชื่อเสียงระดับโลกกำลังเคร่งเครียดกับการหาวิธีเล่าเรื่องใหม่ๆ สำหรับหนังสือเล่มใหม่ ด้วยความหวังของสำนักพิมพ์ที่คาดหวังเอาเองว่า “อลิซ” อาจจะกำลังเขียนภาคต่อของนวนิยายชื่อดังเรื่อง You Always / You Neve เกี่ยวกับชีวิตคู่อันล่มสลายของหญิงม่ายที่ส่งให้เธอแจ้งเกิดเมื่อหลายสิบปีก่อน เธอเดินทางด้วยเรือสำราญจากนิวยอร์กไปอังกฤษพร้อมเพื่อนสนิทสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย 3 คนที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานกว่า 30 ปี คือ “ซูซาน” และ “โรเบอร์ต้า” ส่วนแขกคนสุดท้ายคือ “ไทเลอร์” หลานชายคนเดียวของเธอ ขณะเดียวกัน “แคเรน” ก็แอบเดินทางไปในทริปนี้ด้วยเพื่อสืบความเคลื่อนไหวงานเขียนของอลิซ.M.

IMDB : tt10808832

คะแนน : 5



เรื่องเริ่มต้นเมื่อ “อลิซ” ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลวรรณกรรมที่ประเทศอังกฤษ แต่ติดที่เธอไม่สามารถขึ้นเครื่องบินได้ “แคเรน” กระตือรือร้นยื่นข้อเสนอให้นักเขียนหญิงคนดังเดินทางด้วยเรือสำราญจากนิวยอร์กไปอังกฤษแทน พร้อมเงื่อนไขของอลิซคือชวนแขกร่วมเดินทางในทริปเรือสำราญด้วยอีก 3 คน เป็นเพื่อนสนิทสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้ติดต่อกันมานานกว่า 30 ปี คือ “ซูซาน” และ “โรเบอร์ต้า” ส่วนแขกคนสุดท้ายคือ “ไทเลอร์” หลานชายคนเดียวของเธอ ขณะเดียวกัน “แคเรน” ก็แอบเดินทางไปในทริปนี้ด้วยเพื่อสืบความเคลื่อนไหวงานเขียนของอลิซ

“Let Them All Talk” เล่าเรื่องบนเรือสำราญเกือบทั้งเรื่อง ตัวละครแต่ละคนมีกิจกรรมและใช้ชีวิตแบบรูทีนของตัวเองตลอดสัปดาห์บนเรือ “อลิซ” ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้องสูทหรูที่สุดบนเรือเพื่อเขียนหนังสือและพักผ่อน จากนั้นมีกิจวัตรไปว่ายน้ำทุกบ่าย ส่วน “ซูซาน” ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอ่านนิยาย ขณะที่ “โรเบอร์ต้า” หมดเวลาไปกับการสร้างความประทับใจมองหาชายโสดมีฐานะด้วยเหตุผลร้อนเงิน

เพื่อนทั้งสามคนจะมีช่วงได้พูดคุยพร้อมหน้าพร้อมตากันในช่วงอาหารมื้อเย็นเท่านั้น บรรยากาศจึงอยู่ในความแปลกแปร่ง คลุมเครือ ไม่ชัดเจนในมิตรภาพ โดยมี “ไทเลอร์” ทำหน้าที่เป็นผู้ลอบสังเกตบทสนทนาต่างๆ ของป้าๆ บนโต๊ะอาหารเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ที่เขาเข้าไม่ถึงนี้ โดยเฉพาะ “โรเบอร์ต้า” กับ “อลิซ” ที่ทั้งคู่ดูไว้ทีและมีช่องว่างระหว่างกัน เพราะ “โรเบอร์ต้า” เชื่อเสมอว่าเรื่องราวในนวนิยายของอลิซมาจากชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเธอ โดยเชื่อลึกๆ ว่ามาจากความลับส่วนตัวที่เธอเล่าให้อลิซฟัง และยังมองว่าที่ได้รับเชิญมาทริปเรือสำราญนี้ เพราะอลิซหวังจะเฝ้ามองและจับจ้องชีวิตของเธอเพื่อนำไปเขียนหนังสือเล่มใหม่ โดยที่ “อลิซ” แย้งว่าเรื่องราวในนวนิยายล้วนมาจากแง่มุมบางด้านในตัวเธอทั้งสิ้น

ด้าน “แคเรน” คอยให้ “ไทเลอร์” แอบสอบถามต้นฉบับจากป้าของเขาอยู่เป็นระยะ ทำให้ทั้งสองคนใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างกันทุกวัน โดยบ่อยครั้งบทสนทนาของทั้งคู่คือ การแลกเปลี่ยนถึงมุมมอง ทัศนคติต่อชีวิต ที่สะท้อนถึงความแตกต่างของคนช่วงวัยสามสิบกลางๆ กับคนวัยยี่สิบกลางๆ

ผู้กำกับ “โซเดอร์เบิร์ก” ใช้วิธีการเล่าหนังทั้งเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีทิศทางชัดแน่นอน ตัวละครมีบทสนทนาระหว่างกันจากมุมมองของแต่ละคน คนดูมีหน้าที่เฝ้ามองว่าพวกเขามีเรื่องราวความหลังกันอย่างไร จนรู้สึกก้ำกึ่งว่าจริงหรือไม่ ใครพูดจริง ใครคิดไปเอง ยิ่งระหว่างอลิซ กับโรเบอร์ต้า ทั้งคู่ทำตัวประหนึ่งทุกอย่างในชีวิตล้อมรอบโคจรพวกเขา โดยที่ซูซานคือตัวละครที่วางให้อยู่ตรงกลางของความสัมพันธ์นี้และพยายามจะประนีประนอมให้กับเพื่อนทั้งสองคน จนมีบทสนทนาเฉียบคมของ “ซูซาน” เปรียบเปรยว่าเมื่อวัยล่วงเลยมาขนาดนี้ก็ควรลดทิฐิ เวลาที่มีเหลือก็ควรดีใจไว้ว่าพวกเราคือคนรุ่นสุดท้ายที่จะได้มองท้องฟ้าที่มีดาวของจริงให้เห็น เพราะหลังจากนี้บนท้องฟ้าก็จะมีแสงสว่างที่เป็นดาวเทียมของบริษัทของอีลอน มัสก์ ที่ยิงขึ้นฟ้าไปทั่วเพื่อสร้างอินเตอร์เน็ตดาวเทียมจนเราไม่รู้ว่าเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วกำลังมองดาวจริงหรือดาวเทียมกันแน่