IMDB : tt0422720
คะแนน : 4
พระนางมารี อังตัวเน็ตต์ ถือเป็นตัวละครที่มีสีสันที่สุดคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศส ราชินีผู้ฟุ่มเฟือยจนพาประเทศฝรั่งเศสสู่ความล่มจม พร้อมกับประโยคดังก้องโลกอย่าง “ถ้าราษฎรไม่มีขนมปังจะกิน ก็ให้พวกเขากินเค้กสิ”
ซิสเพิ่งมีโอกาสได้อ่านที่บอกเล่าข้อเท็จจริงการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 แล้วได้ไขความเข้าใจผิดหลายๆ เรื่อง หนึ่งในนั้นคือ พระนางมารีไม่เคยพูดประโยคเค้กอันโด่งดัง รวมถึงได้รู้เรื่องราวมากขึ้น อย่างพระนางเป็นเจ้าหญิงแห่งออสเตรีย ประเทศศัตรูตลอดกาลของฝรั่งเศส และถูกจับแต่งงานกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 องค์รัชทายาทของฝรั่งเศสตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี
นั่นทำให้อยากรู้จักพระนางมารี อังตัวเน็ตต์มากขึ้น เจ้าหญิงวัยรุ่นที่ถูกเลี้ยงมาอย่างอิสระ ต้องกลายมาเป็นว่าที่ราชินีของประเทศศัตรู ทำไมพระนางถึงเพิกเฉยต้องความอดอยากของประชาชน จนต้องพบจุดจบบนเครื่องประหารกิโยติน
Marie Antoinette (2006) ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของ ‘เจ้าหญิงมารี อังตัวเน็ตต์’ ตั้งแต่วันแรกในประเทศฝรั่งเศส กลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทฝรั่งเศส จนกลายเป็นราชินีที่ประชาชนและเหล่าขุนนางชิงชัง ไปจนถึงวันสุดท้ายที่ต้องบอกลาบัลลังก์
เรื่องนี้มีนักแสดงหน้าคุ้นหลายคนเลย ทั้งเจมี่ (Jamie Dornan) พระเอก Fifty Shades of Grey, พี่ทอม (Tom Hardy) หนุ่มบริติชที่ทำซิสใจละลายทุกเรื่อง, และ คริสเตน ดันสท์ (Kirsten Dunst) หรือ ‘แมรี่ เจน’ คนแรกของสไปเดอร์แมน ซึ่งคริสเตนในบทพระนางมารีทำให้เราอินจนน้ำตาคลอ ทั้งที่เป็นตัวร้ายในหน้าประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส แต่ก็ทำให้เราเห็นใจ
เรื่องราวในหนังค่อนข้างตรงกับหนังสือ The French Revolution การรู้ประวัติศาสตร์มาก่อนช่วยให้เข้าใจเหตุการณ์ในหนังขึ้นเยอะ โดยเฉพาะสาเหตุว่าทำไมถึงเกิดการปฏิวัติ เข้าใจความโกรธแค้นของราษฎรฝรั่งเศส ซึ่งถ้าดูแค่หนังเรื่องนี้ อาจจะไม่เข้าใจถึงความทุกข์ทนของประชาชนมากนัก เพราะตามหนังชื่อ Marie Antoinette ที่ถ่ายทอดแต่มุมมองของพระนางมารีที่ไม่เคยออกไปเห็นโลกแห่งความจริงนอกวังเลย
ตลอดเกือบ 2 ชั่วโมงเราจะเห็นแต่พระราชวังแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่อลังการ งานเลี้ยงหรูหรา เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องเพชร มีอาหารสดใหม่อยู่ทุกที่ ชีวิตของเหล่าชนชั้นสูงที่เล่นวิ่งไล่จับกันในวัง เล่นพนัน ปาร์ตี้ยันเช้า ชีวิตหรูหราจนทำเอาเราเกือบลืมไปเลยว่า นี่เป็นยุคเดียวกันกับที่ประชาชนชาวฝรั่งเศสกำลังอดตาย ไม่มีแม้แต่ขนมปังจะกิน
ชอบการที่หนังใช้เพลงป็อปสมัยใหม่เป็นเพลงประกอบ ทีแรกก็แปลกใจ แต่ไปๆ มาๆ มันดูลงตัวดี สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ในหนังซึ่งเกิดในช่วง 1770s – 1790s กับยุคปัจจุบัน ซึ่งทำให้เรามองเจ้าหญิงมารีในมุมของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งมากขึ้น