IMDB : tt2283336
คะแนน : 6
การเปลี่ยนมือผู้กำกับจากแบรี ซอนเนนเฟลด์มาเป็น เอฟ แกรี่ เกรย์ ผู้กำกับหนังแอ็คชั่นสุดเดือดที่เพิ่งคัมแบ็คกลับมางานชุกหลังความสำเร็จของ Fast and Furious 8 (2017) ซึ่งหากมองในส่วนงานกำกับฉากแอ็คชั่นและฉากตลกต่างๆ ก็ต้องถือว่าเขาทำหน้าที่ตัวเองได้อย่างช่ำชอง เพราะเราจะไม่รู้สึกเลยว่ามีฉากไหนที่อืดอาด ยืดยาด ทุกอย่างดูรวดเร็ว กระทัดรัดไปหมด ซึ่งในแง่ดีก็คือหนังมันเหมาะกับการรับรู้ของคนดูยุคปัจจุบันที่ไม่ต้องการให้มีฉากดราม่า หรือ บทสนทนายาวๆ หากต้องการดูหนังหวังบันเทิงสักเรื่อง ดังนั้นสิ่งที่หนังยอมแลกคือการปูดราม่าและสร้างปฏิสัมพันธ์ตัวละครที่ดูกะพร่องกะแพร่งอย่างชัดเจน
สิ่งที่ทำให้ MIB ไตรภาคแรกของซอนเนนเฟลด์ อยู่ในความทรงจำคนดูคงหนีไม่พ้น ความสัมพันธ์แบบกึ่งพ่อลูกระหว่าง เอเจนต์ เจ กับ เค ของ วิล สมิธิและ ทอมมี ลี โจนส์ ผสมผสานมุกจิกกัด หยอกกันตลกๆ ที่ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคนดูกับตัวละคร แต่สำหรับ MIB International สิ่งที่หนังเลือกให้คนดูเห็นกลับมีแค่ บทพูดประชดประชัน แบบหมาหยอกไก่ ของ เอ็ม และ เอช ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจตัวตนของตัวละครนัก เรียกได้ว่าคาแรกเตอร์ของทั้งคู่ตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่องไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเราจะได้รับรู้แค่ว่า เอเจนต์เอชคือชายหนุ่มเจ้าสำราญที่แอบคล้ายเจมส์ บอนด์เข้าไปทุกที เขาไม่มีความรับผิดชอบ เป็นคนเจ้าชู้ และมักประมาทเลิ่นเล่ออยู่เสมอแต่กลับมีไหวพริบเอาตัวรอด ส่วนเอเจนต์เอ็มก็เป็นผู้หญิงแกร่ง ฉลาด และหมกมุ่นกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพราะในวัยเด็กเคยช่วยเอเลี่ยนไว้ แถมยังรอดจากการถูกลบความทรงจำด้วยเครื่องนูทรัลไลเซอร์ แต่สิ่งที่คนดูจะไม่ได้รู้จากหนังทั้งเรื่องคือทั้งคู่เรียนรู้อะไรจากการทำงานในองค์กรลับอย่างเอ็มไอบี แม้จะมีเหตุการณ์ตอนท้ายที่น่าจะสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นต่อองค์กรก็ตาม แต่หากมองในแง่ดีก็ถือว่าหนังเซอร์วิสคนดูกลุ่มสาวๆ ที่ต้องการพาร์ตโรแมนติกพ่วงด้วยซิกแพ็คงามๆ ของคริส แฮมเวิร์ธที่รับรองว่าแซ่บลึ่มแน่นอน ซึ่งก็ถือเป็นโอเอซิสอันชุ่มฉ่ำท่ามกลางฉากแอ็คชั่นที่อัดมาแทบทุก 5 นาทีให้สาวๆพอชื่นใจได้บ้าง
และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาคก่อนๆสำหรับเอเลี่ยน คือการพยายามดีไซน์คาแรกเตอร์เอเลี่ยนน่ารักๆ มาขโมยซีน (บางตัวนี่นึกว่าหลุดมาจากโปเกม่อนแหนะ 555) ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่ามันดูตามขนบหนังสมัยใหม่ที่พยายามสร้างคาแรกเตอร์น่ารักหวังให้มันดังแล้วขายสิทธิ์ผลิตสินค้าจากหนังมากไปหน่อย ในขณะที่ เอ็มไอบี ภาคก่อนๆ เอเลี่ยนคือเอเลี่ยน น่าเกลียดน่ากลัวแต่ตลกด้วยบทที่หนังวางมาสร้างความบันเทิงได้มากกว่า แถมดูไปดูมาภาค International กลับขาดเอเลี่ยนที่มีบทเด่นเหมือนหนัง เอ็มไอบี ภาคก่อนๆ ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มปริมาณเอเลี่ยนที่มาเดินผ่านจอแต่แทบไม่มีตัวไหนมีบทบาทเป็นเนื้อเป็นหนังอย่างแท้จริงเท่าใดนัก
ส่วนคู่ขวัญแห่งมาร์เวลอย่าง คริส แฮมเวิร์ธ และ เทสซ่า ธอมป์สัน ไปๆ มาๆ พอยิ่งหนังพยายามจะเล่นบทหมาหยอกไก่กับตัวละครทั้งคู่ เลยกลายเป็นการพยายามเซอร์วิสแฟนมาร์เวลที่จิ้นทั้งคู่จาก THOR RAGNAROK มากกว่าจะเล่าเนื้อหาที่เป็น เอ็มไอบี จริงๆ ดังนั้นตลอดทั้งเรื่องเลยกลายเป็นเรากำลังดู ธอร์ กับ วัลคิรี มาขิงปนยั่วเสน่ห์ใส่กันมากกว่ามาถกเรื่องความลับจักรวาลหรือวางแผนทลายเอเลี่ยนศัตรูของโลก ซึ่งหากถามว่าเคมีการแสดงของทั้งคู่ดีมั้ยก็ต้องตอบเลยว่าเคมีดีมากเข้ากันไม่ต่างจากหนังธอร์ที่ผ่านมา โดยส่วนตัวเสียดายที่สุดคือคาแรกเตอร์ของเทสซ่า ธอมป์สัน ที่น่าจะมีเนื้อมีหนังกว่านี้โดยเฉพาะเหตุการณ์ฝังใจของเอเจนต์เอ็มที่อุตส่าห์ปูว่าเธอต้องพบจิตแพทย์หลังได้เจอเอเลี่ยนในวัยเด็ก แต่หนังก็เลือกเล่าผ่านๆ ไม่ได้จับจุดนี้มาขยายต่อหรือสร้างอุปสรรคให้กับตัวละครแต่อย่างใด ส่วนคริส แฮมเวิร์ธ ส่วนตัวค่อนข้างมีปัญหากับคาแรกเตอร์พูดเร็ว แถมมึมมัมเหมือนพูดในลำคอทั้งเรื่องของเขา แม้หนังมาเฉลยปมที่ทำให้ตัวละครเป็นแบบนี่ในตอนท้ายแต่เรากลับรู้สึกรำคาญไปก่อนเสียแล้วนี่สิ
สรุปแล้วนี่คือหนังเพื่อคนหวังบันเทิงแบบไม่คิดอะไรมาก ได้เข้ามาดูฉากแอ็คชั่นมันๆ หรือมาดูชาวแอสการ์ดใส่สูทดำล่าเอเลี่ยนพร้อมเคมีชวนจิ้นก็นับเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยล่ะ