ค้นหาหนัง

My Best Friend Anne Frank แอนน์ แฟรงค์ เพื่อนรัก

My Best Friend Anne Frank แอนน์ แฟรงค์ เพื่อนรัก
เรื่องย่อ : My Best Friend Anne Frank แอนน์ แฟรงค์ เพื่อนรัก

ฮานนาห์และแอนน์ แฟรงค์ ที่มีความฝันและอนาคตที่กว้างไกลต้องจบสิ้นเมื่อการมาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้พลิกผันชะตากรรมของพวกเขาให้แยกจากกัน กองทัพเยอรมันได้บุกเข้ายึดและจับตัวฮานนาห์และครอบครัวไปไว้ที่ค่ายกักกันและทุกคนกลายเป็นเชลย และอาจกำลังจะถึงวาระสุดท้ายที่รอวันตายอย่างเดียว ฮานนาห์ มองชะตากรรมอันน่าสลดใจ สลับย้อนไปกับช่วงเวลาอันแสนสดใสในช่วงเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตและมีทุกสิ่งเป็นของตัวเอง ชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความหวัง และเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างกาย คอยหยอกล้อ พูดคุย มีความสุขราวกับเหมือนมันไม่มีอะไรจะมาพรากพวกเขาได้ แต่เพราะมันเป็นอดีต ความทรงจำอันงดงามที่่อาจหลงเหลือไว้ในใจของฮานนาห์ในช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ เมื่อเธอได้พบกับแอนน์ แฟรงค์อีกครั้งหลังจากที่เธอเชื่อว่าแอนน์หนีเธอไป แต่จริง ๆ แล้ว มันอาจเป็นวาระสุดท้ายที่หวนมาบรรจบ เพื่อสะสางสิ่งที่ค้างคาใจให้สิ้นสุด

IMDB : tt10360772

คะแนน : 2



ภาพยนตร์ดราม่าปวดใจอันทรงพลังที่สะท้อนระหว่างอันงดงามและความโหดร้ายของประวัติศาสตร์ที่พรากอนาคตของเหล่าหญิงสาว ผ่านการแสดงที่ดีมาก ๆ และการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม แม้จะเนือยอยู่บ้าง แต่มันก็สะเทือนใจและอาจทำให้ร้องไห้ได้ เพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ทำลายชีวิตของคนในประวัติศาสตร์จริง ๆ และหนังก็สื่ออารมณ์และให้ภาพของเหตุการณ์ได้อย่างสมจริงด้วยฝีมือของผู้กำกับฝีมือระดับออสการ์ เบ็น ซอมโบคาร์ต

My Best Friend Anne Frank (แอนน์ แฟรงค์ เพื่อนรัก) ภาพยนตร์ดราม่าสัญชาติเนเธอร์แลนด์ กำกับโดย เบ็น ซอมโบคาร์ต (จากภาพยนตร์ดราม่า “Twin Sisters” ที่เคยเข้าชิงออสการ์ในปี 2002) ดัดแปลงจากหนังสืออิงประวัติศาสตร์แอนน์ แฟรงค์ เด็กหญิงเยอรมันเชื้อสายยิว ที่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 1942 เธอหลบซ่อนกองทัพของเยอรมันที่กวาดล้างชาวยิว และเขียนบันทึกก่อนถูกจับไปค่ายกักกัน บันทึกของเธอเป็นงานระดับโลกที่น่าจดจำ หนังได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวก ได้รับรางวัล Golden Film ประจำปีของเนเธอร์แลนด์ที่สร้างภาพยนตร์จนประสบความสำเร็จขายตั๋วได้ถึงแสนใบ ก่อนจะลงสตรีมมิ่งของเน็ตฟลิกซ์

สร้างจากเรื่องจริงที่อาจมีการเติมแต่งผ่านตัวฮานนาห์ เพื่อนรักของแอนน์ แฟรงค์ ในปี 1942 มิตรภาพของสาวน้อยอย่างฮานนาห์และแอนน์ แฟรงค์ ที่มีความฝันและอนาคตที่กว้างไกลต้องจบสิ้นเมื่อการมาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้พลิกผันชะตากรรมของพวกเขาให้แยกจากกัน กองทัพเยอรมันได้บุกเข้ายึดและจับตัวฮานนาห์และครอบครัวไปไว้ที่ค่ายกักกันและทุกคนกลายเป็นเชลย และอาจกำลังจะถึงวาระสุดท้ายที่รอวันตายอย่างเดียว ฮานนาห์ มองชะตากรรมอันน่าสลดใจ สลับย้อนไปกับช่วงเวลาอันแสนสดใสในช่วงเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตและมีทุกสิ่งเป็นของตัวเอง ชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความหวัง และเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างกาย คอยหยอกล้อ พูดคุย มีความสุขราวกับเหมือนมันไม่มีอะไรจะมาพรากพวกเขาได้ แต่เพราะมันเป็นอดีต ความทรงจำอันงดงามที่่อาจหลงเหลือไว้ในใจของฮานนาห์ในช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ เมื่อเธอได้พบกับแอนน์ แฟรงค์อีกครั้งหลังจากที่เธอเชื่อว่าแอนน์หนีเธอไป แต่จริง ๆ แล้ว มันอาจเป็นวาระสุดท้ายที่หวนมาบรรจบ เพื่อสะสางสิ่งที่ค้างคาใจให้สิ้นสุด

หนังเล่าเรื่องสไตล์ดราม่าสลับสองช่วงเวลา ช่วงแรกเล่าเรื่องในช่วงที่แฮนนาห์ต้องเผชิญ กับอีกช่วงเล่าช่วงวันวานของแอนน์ แฟรงค์ หนังไม่ได้เล่าผ่านตัวละครที่คนทั่วไปรู้จักอย่าง แอนน์ แฟรงค์ แต่กลับกัน หนังนำเสนอภาพและมุมมองของแฮนนาห์ เพื่อนสนิทของเธอที่มีความหวังและมีความฝัน พร้อม ๆ กับแสดงภาพความโหดร้ายของกองทัพเยอรมันที่กวาดต้อนคนยิวเข้าไปในค่ายกักกันซึ่งน่าจะเป็นมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ ในขณะที่ครอบครัวของเธอค่อย ๆ ปลดปล่อยความลับที่สั่นคลอนมิตรภาพของพวกเขา ก่อนที่หนังจะเล่าให้เห็นสภาพของคนเยอรมันในค่ายกักกันที่เราอาจจะเห็นมาแล้วในหนังทำนองนี้ เช่น เด็กชายในชุดนอนลายทาง แต่นี่คือมุมมองของเด็กสาวที่ต้องเข้าไปในสังคมทาสและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และหนังก็แสดงความโหดร้ายแบบไม่ต้องมีความรุนแรง แต่ใช้สัญญะและการเล่าของภาพแทน ซึ่งมันชวนหดหู่ใจมาก เมื่อเรื่องนี้คืออ้างอิงจากประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลก 2 เราเห็นมุมมองของคนที่รอวันตายและแทบไม่มีความหวังจะใช้ชีวิต แต่หนังก็พยายามเล่าให้ก่อนหน้าเป็นช่วงเวลาคอเมดี้เล็ก ๆ และออกจะเนือย ๆ เพื่อไม่ให้โทนเรื่องหดหู่ จนกระทั่งช่วงท้ายที่หนังได้เฉลยบางอย่างและทำให้น้ำตาร่วง จนไม่อยากกลับมาดูอีกแล้ว ไม่ใช้เพราะหนังมันแย่ แต่หนังมันโหดร้ายกับชะตากรรมตัวละครของเรื่อง ที่อาจจะปรุงแต่งบ้าง แต่พอภาพรวมแล้ว ไม่แปลกใจเลยทำไมชาวเนเธอร์แลนด์ถึงเทใจให้หนังเรื่องนี้ในปี 2021 และผมก็ค่อนข้างประทับใจมาก แต่ก็คงไม่อยากดูอีกรอบ

หนังสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของช่วงปี 1942 ช่วงเวลาที่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเยอรมัน ไม่ว่าจะชีวิตดีแค่ไหน หรือยากดีมีจนยังไง ก็จะมีกองทัพของฮิตเลอร์เข้ามาประจำการ กวาดต้อนไปยังค่ายกักกันและใช้ให้ทำงานอย่างหนัก ใครที่ฝ่าฝืนหรือไม่ทำกฏจะถูกลงโทษจนถึงขั้นเสียชีวิต บางคนถูกทารุณกรรมเยี่ยงไม่ใช่มนุษย์ บางคนถูกกร้อนผม ให้ใส่ชุดเก่า ๆ และรวมตัวเข้าไปในห้องรมควันพิษจนเสียชีวิต เด็กสาวอย่างแฮนนาห์ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายอย่างเข้มแข็งและมีความหวัง เพื่อจะได้พบเจอกับเพื่อนอีกครั้ง มิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่แม้ผิดใจกันหรือพลัดพรากจากก็จะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนไป หนังยังทำให้เห็นความพยายามของผู้ใหญ่ที่ดิ้นรนอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาครอบครัวในช่วงเวลาอันเลวร้าย แม้ว่าจะต้องทำร้ายจิตใจลูกสาว แต่ก็เพื่อครอบครัว สะท้อนบทบาทของผู้หญิงที่เป็นเพียงเครื่องผลิตลูก และไร้ปากเสียงที่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชาย จนต้องโกหกไปเรื่อย ๆ ความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ไม่ได้เห็นโลกกว้าง หรือความโหดร้ายของกองทัพเยอรมันที่ทำกับชาวยิวเหมือนเป็นสัตว์ใช้ให้ทำงาน อยู่ในที่พักโทรม ๆ ไม่ให้ไปอาบน้ำ เพื่อห้องน้ำถูกใช้ในการรมควัน เชื่อว่ามันคงเป็นภาพของคนที่เหมือนรอวันตาย ที่แม้จะรอดชีวิตมาได้มันก็ยังจะฝังอยู่ติดตรึงไม่เลือนหายไป