เรื่องย่อ : Nappily Ever After | ขอเป็นตัวเองชั่วนิรันดร์
ไวโอเลต Account Executive คนเก่งประจำเอเจนซี่โฆษณา กิจวัตรในแต่ละวันของไวโอเลตที่เธอทุ่มเทไม่แพ้กับงานก็คือ การดูแลเส้นผมบนศีรษะของเธอให้เรียบตรงสวยอยู่ตลอดเวลา โดยไม่แคร์ว่ากระบวนการในการรักษาทรงผมเหล่านั้นให้อยู่ทรง ต้องอาศัยทั้งสารเคมีและความร้อนจากที่หนีบผมก็ตาม ไวโอเลตคิดว่าแฟนหนุ่มรูปหล่อกำลังจะขอแต่งงานในวันเกิดของเธอ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเธอถูกหลานสาวของเพื่อนฉีดน้ำใส่เส้นผมของเธอจนเกิดการคืนรูปกลายเป็นผมหยิกฟู ตามธรรมชาติทรงผมของผู้หญิงผิวสี เมื่อหายนะมาเยือน ไวโอเลตจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เส้นผมเธอกลับมาสวยดังเดิม ก่อนงานเลี้ยงวันเกิดมื้อค่ำกับแฟนหนุ่มของเธอจะเริ่มต้นขึ้น แต่กลายเป็นว่า “แหวนแต่งงาน” ที่เธอคาดหวังไว้ แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงจี้ห้อยคอสุนัข ที่แฟนหนุ่มเตรียมเอาไว้ให้เธอ และน้องหมาที่ไวโอเลตไม่เคยจะต้องการมาก่อนในชีวิต ความผิดหวังเข้าปะทะกับชีวิตไวโอเลตอย่างจัง ส่งผลทำให้เธอทะเลาะกับแฟนหนุ่มอย่างรุนแรง และไวโอเลตตัดสินใจบอกเลิกกับเขา ไม่นานนักเธอก็เริ่มเสียศูนย์ในการใช้ชีวิต ไวโอเลตพยายามลองเปลี่ยนสีผมให้กลายเป็นสีบลอนด์ และพยายามออกเดทกับหนุ่มคนใหม่ แต่เธอก็ไม่สามารถเติมเต็มความสุขของตัวเองได้ เมื่อเธอจ้องมองผมที่เปียกน้ำและฟูฟ่องจนเหมือนพุ่มไม้ เธอตัดสินใจหยิบเอาปัตตาเลี่ยนขึ้นมากล้อนผมบนหัวขอเธอออกจนเกลี้ยงโกร๋น รุ่งเช้าวันถัดมา เธอค้นพบว่าตัวเองเป็นคนใหม่ แต่ในใจของเธอก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ไปดูกันเลย
Nappily Ever After เป็นภาพยนตร์ Netflix ที่ติดตามการเดินทางของไวโอเล็ต เมื่อเธอค้นพบว่ายังมีอะไรอีกมากมายสำหรับเธอ มากกว่าแค่ทรงผมของเธอ และในขณะที่การสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับผมของผู้หญิงอาจดูเล็กน้อย แต่ก็เป็นอย่างอื่น
ผู้หญิงทั่วโลกใช้โชคลาภไปกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมตลอดชีวิต ตั้งแต่การทำไฮไลท์และตัดแต่งทรงผมที่ร้านทำผม ไปจนถึงสระผม เป่าแห้ง และจัดแต่งทรงที่บ้าน ผู้หญิงลงทุนเงินเป็นจำนวนมาก ไวโอเล็ตใน Nappily Ever After เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
Nappily Ever After เป็นภาพยนตร์ที่น่ารักเกี่ยวกับการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองของผู้หญิงคนหนึ่ง สำรวจการแสวงประโยชน์จากความไม่มั่นคงของผู้หญิงและวิธีการที่อุตสาหกรรมหลายพันล้านดอลลาร์ตกเป็นเหยื่อของแนวคิดที่ว่าล็อคที่ไหลยาวเป็นตัวอย่างของความงาม Sanna Latham โกนหัวของเธอจริงๆ สำหรับหนังเรื่องนี้และถึงแม้ว่าฉันจะชอบมันแต่มันก็ดูเหมือนจะขาดอะไรบางอย่างไป