IMDB : tt0105112
คะแนน : 7
พอ The Hunt For Red October ดัง โกยเงินไปเป็นร้อยล้าน ภาคสองก็เริ่มเดินเรื่องต่อทันทีครับ ซึ่งครั้งนี้แจ๊ค ไรอัน (Harrison Ford) ได้ไปขัดขวางการก่อการร้ายของพวกกองโจรไออาร์เอเข้า และเหตุการณ์นั้นทำให้ ฌอน มิลเลอร์ (Sean Bean) หนึ่งในทีมผู้ร้ายต้องสูญเสียน้องชายไป จึงทำให้ฌอนผูกใจเจ็บและพร้อมจะแก้แค้นแจ๊ค ไรอันทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่ทำร้ายครอบครัวของแจ๊คด้วย
ภาคนี้มีการเปลี่ยนตัวแจ๊ค ไรอันครับ ภาคที่แล้วเป็น Alec Baldwin ไปเป็น Ford มาเล่นแทน ซึ่งก็มีหลายข่าวลือครับ บ้างก็ว่าตอนกำลังถ่ายทำภาคแรกนั้น Baldwin ทำตัวไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ทีมงานเลยไม่ตามพี่แกมาเล่นในภาคนี้ บ้างก็ว่าเพราะเขาขอเรียกค่าตัวเพิ่มแต่ Paramount ไม่ให้ พี่ท่านเลยโบกมืออำลา อีกกระแสหนึ่งก็ว่าพี่ท่านไม่ชอบบทของภาคนี้เท่าไหร่ ซึ่งอันไหนจริงเท็จอย่างไรก็ยากจะรู้แน่ครับ (แต่อันที่น่าเชื่อสุดคือเรื่องค่าตัวนี่แหละ) แต่ยังไงก็ตาม การมาของ Ford กลับออกจะเป็นผลดีมากกว่า เพราะ Ford เขาดังครับ และเหมาะกับบทกึ่งบู๊กึ่งบุ๋นแบบนี้อยู่แล้วด้วย ดังนั้นการแสดงของเขาจึงช่วยหนังไว้ได้มากครับ
แต่ทว่า หนังภาคนี้ออกจะเป็นตอนที่อ่อนที่สุด เพราะการเดินเรื่องค่อนข้างอืดครับ นานๆ ทีจะมีอะไรให้ตื่นเต้น ซึ่งอันนี้ ผู้กำกับ Phillip Noyce ก็ต้องรับไปเต็มๆ ล่ะครับ รู้สึกพี่แกจะยังคุมหนังไม่ค่อยแม่นนัก อย่างฉากตีกันในช่วงท้ายก็ไม่ค่อยจะลงตัวเท่าไหร่ หนังจึงออกจะยั้งๆ ไม่เต็มที่ จะมันส์ก็ไม่ใช่ จะเร้าใจก็ไม่เชิง มันออกมาเรื่อยๆ มากกว่า เนื้อเรื่องก็เข้าแนวการตามล่าล้างแค้นธรรมดา ที่ไม่ค่อยจะมีชั้นเชิงซักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีครับที่หนังได้การแสดงของ Ford ช่วยไว้ รวมไปถึงคนอื่นด้วย ไม่ว่าจะ James Earl Jones ที่กลับมารับบท เจมส์ เกรียร์ จากภาคแรก, Samuel L. Jackson เล่นเป็นร็อบบี้ แจ๊คสัน เพื่อนของแจ๊ค, James Fox กับบท ลอร์ด โฮล์มส์ ผู้ที่แจ๊คช่วยไว้ตอนต้นเรื่องให้พ้นจากการตกเป็นเป้าสังหารของพวก IRA
ส่วน ตัวร้ายของเรื่องที่ Sean Bean รับไปนั้น ผมว่าเขาเล่นได้ดีครับ เพียงแต่พี่แกออกจะฉลาดน้อยไปหน่อย เอาแต่อารมณ์เป็นหลัก เลยทำให้ไม่ลุ้นเท่าไหร่ว่าพี่แกจะฆ่าแจ๊คสำเร็จ (ก็ไม่น่าจะฉลาดเท่าพี่แจ๊คนี่ครับ) ซึ่งอันนี้ต้องโทษเรื่องบทครับ ที่เขียนออกมาให้พี่แกไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ซึ่งผมก็พอเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไม Tom Clancy เจ้าของบทประพันธ์ถึงขอแยกตัวไม่เกี่ยวข้องกับโปรเจคท์นี้ทันทีที่อ่านบทของ หนังก็งานมันออกมาไม่ค่อยจะเข้มข้นนักน่ะครับ อีกอย่างมันก็เปลี่ยนไปจากเรื่องของเขาไม่น้อยเลย
สรุปว่าภาคนี้ดูได้เรื่อยๆ ครับ ถือว่าโอเคตามมาตรฐาน แต่ก็ยังดีได้อีกและเข้มข้นได้พอสมควร