IMDB : tt0117571
คะแนน : 8
นี่คือหนังสยองแนวไล่ฆ่าที่ทำออกมาดีได้ใจคนดู ส่งผลให้หนังดังครับ ในขณะที่ค่ายหนังต่างๆ ก็พากันสร้างหนังแนวสยองไล่ฆ่าตามกันออกมาเป็นพรวน จนจำได้ว่าปีนั้นและถัดมาอีก 2 ปีก็ยังมีหนังแนวนี้ตามออกมาอีกเรื่อยๆ ครับ
เนื้อหาก็ว่าด้วยมีฆาตกรใส่หน้ากากฆ่าวัยรุ่นไปสองคน ทำให้เมืองวู๊ดส์เบอโรว์ตกอยู่ในความหวาดผวา เพราะฆาตกรอาจเป็นใครก็ได้ แล้วมันยังลงมือซ้ำอีก แต่ครั้งนี้เหยื่อสามารถรอดชีวิตได้ และเหยื่อคนนั้นก็คือ ซิดนี่ย์ เพรสค็อตต์ (Campbell) สาวน้อยที่เมื่อปีก่อนเธอเพิ่งเสียแม่ไป เนื่องจากแม่ของเธอถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
แล้วหนังก็เดินเรื่องไปอย่างน่าติดตามครับ ได้กลิ่นอายหนังสยองแบบเต็มๆ แล้วก็ได้อารมณ์หนังลึกลับสืบสวน ยอมรับครับว่าหนังครบเครื่อง ทั้งสนุก สยอง ตื่นเต้น ลึกลับ อย่างฉากเปิดตัวที่ Drew Barrymore แสดงนั้นมันชวนกดดันได้ดีจริงๆ ครับ และน่าจะช็อกคนดูได้เยอะพอตัวด้วย
หนังน่าติดตามตลอดครับ เพราะหนังใส่อะไรมาดึงความสนใจคนดูตลอด ถ้าคุณเป็นคอหนังสยองล่ะก็ จะไม่มีช่วงให้เบื่อเลยครับ ฉากฆาตกรรมก็น่าติดตาม บทสนทนาก็มีประเด็นชวนคิด อย่างการเอากฎหนังสยองมาพูดกัน หรือการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ว่าใครน่าจะเป็นฆาตกรบ้าง
ผมว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของหนังสยองเรื่องนี้คือ ตัวละครในเรื่องไม่ค่อยไร้สมองครับ แม้จะมีไร้สาระบ้างหรือบางขณะก็เป็นวัยรุ่นที่เฮ้วๆ บ้าง แต่โดยรวมแล้วทุกคนมีคาแรคเตอร์ ไม่ได้โง่เกินงามแบบที่เรามักได้เจอในหนังสยองวัยรุ่นหลายๆ เรื่อง ทุกคนจะมีทั้งวาระฉลาดและวาระขาดสติ ทำให้พวกเขาดูมีเลือดมีเนื้อขึ้นมา ซึ่งมีหนังสยองไม่กี่เรื่องที่ทำได้แบบนี้ครับ อย่างที่ผมจำได้มากหน่อยก็ Friday the 13th Part 3 แต่เรื่องนั้นก็ยังไม่ลงตัวเท่าเรื่องนี้ครับ ในประเด็นมิติของตัวละคร
หรือบางจังหวะหนังก็มีการผ่อนอารมณ์แบบพอเหมาะและแฝงความหมายครับ อย่างตอนที่หนังถ่ายให้เห็นยามซิดนี่ย์กลับมาบ้าน อยู่เพียงลำพังคนเดียว มันให้อารมณ์เปลี่ยวเหงา ว้าเหว่ และสื่อให้รู้สึกว่าซิดนี่ย์มีอะไรในใจ มีความรู้สึกในใจบางอย่างที่สอดคล้องกับอาทิตย์ยามอัสดง (ที่มักทำให้หลายคนที่เห็น รู้สึกพร่อง ขาด หรือโดดเดี่ยว)
ช่วงผ่อนก็มีความหมาย ช่วงสยองก็ได้ใจ ช่วงวัยรุ่นคุยกันก็มีประเด็น การทิ้งปมก็นับว่าพอเหมาะชวนติดตามกำลังดี ดนตรีกับเพลงประกอบก็เข้ากับจังหวะของหนังดีอีกเหมือนกันครับ
ไหนจะการวางพล็อตหลอกล่อให้คนดูสงสัยว่าใครน่าจะเป็นฆาตกรบ้าง ซึ่งหนังก็เฉลยได้ดีครับว่าใครคือคนทำ และทำทำไม
ครั้นพอเวลาผ่านไป เมื่อดูหนังจบ 3 ภาค (อันนี้ขอนับเฉพาะไตรภาคก่อนนะครับ) ก็ยกนิ้วเลยครับว่า Williamson วางเรื่องไว้เป็นไตรภาคจริงๆ มีหลายอย่างที่จะเกี่ยวกับเรื่องในภาคต่อๆ ไป ไม่ว่าจะเหตุจูงใจของฆาตกร และการปรากฏตัวแบบแว้บๆ ในจอทีวีของ ค็อตตอน เวียรี่ย์ (Liev Schreiber) ที่ต้องคดีฆาตกรรมแม่ของซิด
ดาราในเรื่องก็แสดงกันได้ดีเนียนเลยล่ะครับ Campbell ดูเหมาะจริงๆ กับบทซิดนี่ย์, McGowan ก็สวยเตะตาผสมความน่ารักแบบแสบๆ ในบททาตั้ม, Skeet Ulrich ก็ดูแนวๆ อินดี้ๆ เหมาะกับบทบิลลี่ดีเหมือนกัน, David Arquette นี่ก็อีกรายครับ ผมว่าพี่แกเกิดมาเพื่อเป็นดิวอี้ๆ จริงๆ เอาแค่แววตาท่าทางตอนทำท่าไม่มั่นใจนั่นก็ฮาแล้วครับ แล้วยังเป็นตัวละครที่น่ารักมากๆ ประจำหนังชุดนี้ด้วย ส่วน Matthew Lillard นี่ก็บ้าสุดขีด เป็นสีสันชั้นดีให้กับหนัง และที่ลืมไม่ได้คือ Jamie Kennedy นี่ก็อีกรายครับ เกิดมาเป็นแรนดี้ชัดๆ อย่างตอนแกร่ายกฎหนังสยองนี่ โดนใจสุดๆ ครับ
ส่วน Courteney Cox นี่ถือเป็นตัวละครที่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรสมัยดูแรกๆ นะ รู้สึกแค่เป็นนักข่าวจอมแสบคนหนึ่ง แต่พอมาดูรอบหลังผมว่าเธอก็ไม่ได้เป็นนักข่าวหญิงแสบที่ดีแต่ฉายโอกาสทำข่าวเท่านั้น จริงๆ เธอเป็นพวกกัดไม่ปล่อย และเชื่อมั่นในตัวเองสูง (อย่างที่เธอเชื่อเต็มสูบว่าซิดนี่ย์คิดผิดเกี่ยวกับฆาตกรที่ฆ่าแม่ของเธอ) ในขณะที่ลึกๆ แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กลัวเป็น พร้อมจะเผ่นเพื่อรักษาตัวรอด ไม่ได้กล้าบ้าบิ่นอย่างที่แสดงออก และคนที่สัมผัสในสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือ ดิวอี้นี่แหละ
นอกนั้นก็มีดารารับเชิญอย่าง Linda Blair (แห่ง The Exorcist) ที่มาเป็นนักข่าวที่ยิงคำถามว่า “ประชาชนอยากรู้ พวกเขามีสิทธิ์จะรู้นะคะ” นั่นล่ะครับ เธอล่ะ แล้วก็ Henry Winkler มาเป็นครูใหญ่ และอีกรายคือ เฮีย Wes ผู้กำกับน่ะครับ โดดลงมาเล่นเองเลย เป็นภารโรงที่ชื่อเฟรด (ซึ่งฉากที่ว่าก็แซวบทเฟรดดี้ ครูเกอร์ไปอีกดอก)
เรียกได้ว่านี่เป็นอีกผลงานของ Wes Craven ที่จัดว่าดีรองจาก A Nightmare on Elm Street ได้สบายๆ ครับ สยอง น่าติดตาม มีปม ซึ่งความสดประการหนึ่งของ Scream ก็คือการใส่ “สมอง” ลงไปในตัวละคร การเพิ่มมิติเหตุผลลงไปในการกระทำของแต่ละคร อีกทั้งการใส่ลีลาทิ้งปมให้ตามสืบหาฆาตกรตามสไตล์นิยาย Agatha Christie ลงไปด้วย
ไหนจะยังมีการจิกกัดหลายประการที่จะมองให้ขำก็ดี มองให้คิดก็ได้ อย่างพฤติกรรมพวกวัยรุ่นที่แต่งตัวเป็นไอ้หน้าผีสร้างความวุ่นวายในโรงเรียน จนครูใหญ่อยากจะไล่ออก หรือการมีปาร์ตี้ทั้งที่ยังมีฆาตกรลอยนวล อันนี้ก็กึ่งๆ จะกัดความไร้สาระบางประการของวัยรุ่นมะกันอยู่
อีกอย่างที่ควรระลึกไว้หลังดูหนังเรื่องนี้ก็คือ แม้หนังจะรุนแรงและโหด แต่ก็ดูเพื่อเตือนใจนะครับ ว่าการฆ่าไม่ใช่ของสนุก และมันไม่นำมาสู่ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งหนังเรื่องนี้ จะว่าไปก็มีผลทำให้เด็กบางคนที่ดูแล้วเกิดพฤติกรรมเลียนแบบอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือผู้ปกครองเสมอครับที่ต้องสอน ต้องถ่ายทอดมุมคิดอย่างมีสติให้เด็กได้ทำความเข้าใจ อย่ามัวแต่ปิดหรือเลือกที่จะไม่พูดถึง เพราะยังไงเรื่องของการฆ่า ความรุนแรงมันมีจริงในโลกครับ เราจึงควรสอนให้พวกเขารู้จักและเข้าใจ ไม่ใช่ปกปิด เพราะการทำเช่นนั้นจะเท่ากับเปิดโอกาสให้เด็กคิดเอาเอง ซึ่งบางครั้งทิศทางที่เด็กคิดนั้นก็อาจไม่ใช่ทิศทางที่สร้างสรรค์ซะด้วย
สรุปว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงสำหรับคอหนังแนวนี้ และถ้าอยากสนุกขึ้น แนะนำให้ดูเรียงสามภาคสัก 2 รอบ แล้วสังเกตดูว่า Williamson แกทิ้งประเด็นเชื่อมแต่ละภาคไว้ยังไงบ้าง
ครับ ชอบ เจ๋ง มีอะไรเข้าท่าเยอะ แต่ก็อาจมีบางสิ่งบางช่วงที่ยังไม่สมบูรณ์บ้าง แต่กระนั้นก็ขอยกนิ้วให้อยู่ดีครับ