ค้นหาหนัง

Seabiscuit

Seabiscuit
เรื่องย่อ : Seabiscuit

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของอเมริกา มีคนหลายๆ คนต้องพบกับความผิดหวังและความสูญเสีย แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการพบกันของคนสามคนและม้าหนึ่งตัวที่ร่วมกันสร้างฝัน ตั้งแต่ Charles เจ้าของม้า Tom ครูฝึกม้า Red จ๊อกกี้ และ Seabiscuit ม้าของพวกเขา จากทีมหางแถว พวกเขาค่อยๆ ไต่เต้าจนกลายเป็นทีมระดับแนวหน้าและท้าสู้กับม้าระดับแชมป์โดยหวังจะสร้างตำนานอันเหลือเชื่อให้ได้ เรื่องราวของ Seabiscuit ที่สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงนั้นเป็นอะไรมากกว่าหนังแข่งม้าที่เรามาลุ้นว่าตอนจบมันจะเป็นแชมป์หรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยมิติต่างๆ มากมายและนำไปสู่การมองชีวิตด้วยความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยลืมอดีตที่เจ็บปวด เยียวยาบาดแผลที่มี รวมทั้งให้อภัยกับความผิดพลาด และด้วยการที่หนังอุดมไปด้วยเรื่องราวของการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มากมาย หนังเลยถูกยกว่าเป็นหนึ่งในหนังสร้างแรงบันดาลใจในการสู้วิกฤตในชีวิตจริงได้อย่างดีเยี่ยม

IMDB : tt0329575

คะแนน : 7



Seabiscuit ถูกเสนอเข้าชิง 7 รางวัลออสการ์

มีคนพูดถึง Seabiscuit: An American Legend ของ Laura Hillenbrand แต่รู้สึกช่วงนี้อ่านหนังสือไม่รุ่ง และจำได้ว่าเคยซื้อแผ่นมานานแล้ว เลยไปคุ้ยกล่องมาดู

Seabiscuit เป็นม้าแข่งระดับตำนานที่สร้างประวัติศาสตร์ในยุควิกฤตเศรษฐกิจทศวรรษ 1930 ในปี 1938ที่กำลังเข้าใกล้สงครามโลกครั้งที่สอง ซีบิสกิตน่าจะมีชื่อปรากฏในหนังสือพิมพ์บ่อยกว่าฮิตเลอร์อีก

ฉบับหนังนำแสดงโดย Tobey Maguire (Spiderman, Pleasantville) กำกับโดย Gary Ross (Pleasantville, The Hunger Games) หนังได้เข้าชิงออสการ์ 7 สาขา รวมทั้ง Best Picture

เอาละ ไล่เพ็ดดีกรีหมดแล้ว เข้าเรื่อง

หนังเปิดฉากด้วยการเล่าประวัติชีวิตเบื้องต้นของบุคคลทั้งสามที่มีส่วนร่วมให้ซีบิสกิตได้กลายเป็นแชมป์ นั่นคือ เศรษฐีเจ้าของม้าแข่ง จ๊อกกี้ตาบอดข้างหนึ่ง (ต่อไปนี้จะเรียกว่าพระเอก) และเทรนเนอร์ เนื่องจากนำเรื่องเยอะแต่เวลามีจำกัด ทุกอย่างจึงค่อนข้างรวบรัด เราดูหนังช่วงแรกด้วยความมึนเอาการ มันเหมือนนั่งฟังคนเล่าเรื่อง จากจุด A ไปจุด B แบบสะเปะสะปะ บิ๊วอารมณ์ไม่สุดสักอย่าง เสียงคนเล่าก็ทำให้เหมือนดูสารคดีด้วย พอสามคนและหนึ่งตัวมาบรรจบกันถึงค่อยเหมือนภาพยนตร์ขึ้นหน่อย ช่วงหลังสนุกกว่าช่วงแรกมาก แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจก็ยังไม่ได้ออกกำลังเท่าไหร่ คิดว่าเป็นหนังที่สามารถดูด้วยกิริยาแบบผู้ดีได้

สรุปว่าหนังน่ะอยู่ในระดับโอเค แต่สิ่งที่ตรึงใจคือเนื้อหา แบบว่าเรื่องราวเดิมมันตื่นเต้นและน่าประทับใจสุดๆอยู่แล้ว ดูหนังจบไปเสิร์ชอ่านประวัติจริงเลย

ซีบิสกิตเป็นม้าสายเลือดดีแต่ขาสั้นเข่าปูดและตัวม่อต้อกว่าม้าแข่งทั่วไป แถมยังขี้เกียจ ชอบนอนกลางวันอีกต่างหาก เจ้าของเก่าใช้วิธีการทำร้ายและทารุณ จนซีบิสกิตกลายเป็นม้าขี้ตื่นที่เข้าวินบ๊วยเป็นประจำ

ส่วน "เรด" พอลลาร์ด ก็เป็นจ๊อกกี้ตัวใหญ่กว่าจ๊อกกี้ทั่วไป (ปกติจ๊อกกี้ต้องตัวเล็ก น้ำหนักเบา) แถมยังตาบอดข้างหนึ่ง เมื่อทั้งสองได้มาจับคู่กัน เลยเกิดเรื่องราวของโอกาสครั้งที่สอง และหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้

สิ่งที่เราประทับใจในตัวซีบิสกิต ไม่ใช่การที่มันพลิกล็อคเอาชนะ War Admiral ม้าที่ลักษณะยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานั้นได้ แต่เราประทับใจสาเหตุเบื้องหลังของชัยชนะ

เคล็ดลับก็คือ ระยะที่ใกล้เส้นชัย ให้ซีบิสกิตได้สบตากับม้าคู่แข่งชัดๆ เมื่อจ๊อกกี้กระตุ้น ซีบิสกิตจะไม่มีวันแพ้ใคร เพราะซีบิสกิตไม่ได้วิ่งด้วยกำลัง แต่วิ่งด้วยหัวใจ ถ้าเรื่องราวของซีบิสกิตเป็นนิยาย ทุกคนจะบอกว่ามันไม่สมจริง มันเว่อร์ มันเหลือเชื่อจนน่าขัน แต่นี่เป็นความจริง และไม่มีม้าตัวไหนในประวัติศาสตร์ที่ข้ามพ้นอคติของมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้

ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากเอาชนะ War Admiral ได้แล้ว ซีบิสกิตก็บาดเจ็บและหลายคนบอกว่าไม่มีวันจะลงแข่งได้อีก แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ใครจะไปคิดว่าม้าแข่งที่เคยเอ็นขาหน้าฉีก กับ จ๊อกกี้ที่ขาหักและหมดหวังจะควบม้าเป็นครั้งที่สอง กลับมาแข่งชนะอีกครั้งในสองปีต่อมา ตรงนี้แหละที่เรารู้สึกว่าโคตระสุดๆ มันเป็นชีวิตจริงที่ยิ่งกว่านิยาย บอกตรงๆว่าเราค้นกูเกิ้ลอ่านประวัติซีบิสกิต ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนดูหนังซะอีก

ถึงหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่หนังที่เราหยิบมาดูซ้ำ แต่เรื่องของซีบิสกิตคงติดอยู่ในความทรงจำเราไปอีกนาน

"Biscuit’s courage, honesty, and physical prowess definitely place him among the thoroughbred immortals of turf history. He had intelligence and understanding almost spiritual in quality." – คำจารึกที่ฐานหลุมศพของซีบิสกิต