ค้นหาหนัง

Silverado | ซิลเวอร์ราโด สี่ยอดสิงห์แดนทมิฬ

Silverado | ซิลเวอร์ราโด สี่ยอดสิงห์แดนทมิฬ
เรื่องย่อ : Silverado | ซิลเวอร์ราโด สี่ยอดสิงห์แดนทมิฬ

วีรบุรุษผู้ไม่รู้หนังสือสี่คนเดินทางข้ามเส้นทางไปยังเมือง Silverado อันเงียบสงบ พวกเขาไม่ค่อยรู้จักเมืองที่ครอบครัวและเพื่อนของพวกเขาอาศัยอยู่ ถูกนายอำเภอทุจริตและกองทหารสังหารเข้ายึดครอง มันขึ้นอยู่กับสี่คนยิงคมที่จะกอบกู้โลก แต่ก่อนอื่นพวกเขาต้องแยกตัวออกจากคุกและเรียนรู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ของพวกเขา

IMDB : tt0090022

คะแนน : 7



นี่ถือเป็นหนังคาวบอยที่ทำออกมาได้สนุกและน่าติดตามมากๆ อีกเรื่องครับ หนังสามารถผสมผสานลีลาคาวบอยรุ่นเก่ากับหนังแอ็กชันตะวันตกรุ่นใหม่เข้ากันได้อย่างพอเหมาะ

หนังมาตามสูตรเลยครับ เรื่องของตะวันตกแดนเถื่อนที่แต่ละเมืองก็จะมีนายอำเภอคุม ซึ่งนายอำเภอที่ว่านี่ก็มีทั้งที่ดีและที่เหลิงในอำนาจ แล้วก็จะมีคนตั้งตนเป็นโจรคอยรุกรานและดักปล้นชิง ซึ่งบางเมืองก็จะแย่หน่อยเพราะนายอำเภอกับโจรดันซูเอี๋ยร่วมมือกันสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง (อย่างในเรื่องนี้เป็นต้น)

ตัวเอกของเราก็คือ เพเดน (Kevin Kline) สิงห์ปืนไวที่เพิ่งโดนคนหักหลังจนเกือบตาย, เอ็มเม็ต (Scott Glenn) กับเจค (Kevin Costner) พี่น้องคาวบอยที่ทนกับความอยุติิธรรมมานานพอ จนพวกเขาเลือกที่จะไม่ทน และพร้อมชนกับคนร้ายในทุกรูปแบบ และมาล (Danny Glover) ชายผิวสีผู้โดนกดขี่และเต็มไปด้วยไฟแค้น

พวกเขาทั้ง 4 ก็มารวมตัวกันครับ เพื่อปะทะกับนายอำเภอจอมโฉดนามว่า ค็อบบ์ (Brian Dennehy) และเหล่าสมุนตัวร้ายที่คอยเอารัดเอาเปรียบชาวเมือง

อย่างที่บอกครับว่าหนังมาตามสูตร แต่เป็นสูตรที่อร่อยและใช้ได้ผลมานักต่อนัก ที่เหลือก็แค่ว่าขอให้ทีมงานปรุงออกมาได้รสชาติกำลังดี แค่นี้ก็จะได้หนังสนุกๆ มาอีกเรื่อง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าน่าพอใจอย่างมากครับ

หนังกำกับโดย Lawrence Kasdan ที่ตอนนั้นเพิ่งสร้างชื่อจากหนังสืบสวนร้อนๆ อย่าง Body Heat และหนังดราม่ารวมดาราอย่าง The Big Chill มาเรื่องนี้ถือว่าเขาทำได้ดีครับ การแจกแจงตัวละครทำได้ดีมาก แต่ละคนมาพร้อมคาแรคเตอร์เด่นและมีโมเมนต์ของตัวเอง ตัวหนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ แต่ก็ไม่น่าเบื่อครับ หนังใช้เวลาไปกับการเล่าปมตัวละครที่จัดว่าน่าสนใจ แล้วยังได้แรงเสริมจากการแสดงดีๆ อีกต่างหาก แล้วก็แอ็กชันที่แทรกมาเป็นพักๆ ก่อนจะมาถึงไคลแม็กซ์ที่ยิงสู้กันแบบมันส์ได้ระดับทีเดียว

หนังครบสูตรความเป็นคาวบอยแบบดั้งเดิมครับ มีตัวร้ายที่ร้ายจริง แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีมาดเท่ห์ หรือไม่ก็มีหลักการประจำตน (แบบร้ายๆ) ตามด้วยตัวร้ายประเภทที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อร้ายอย่างเดียวแบบไม่มีความดีเลย แล้วก็ยังมีตัวร้ายแบบใช้เล่ห์เหลี่ยมหักหลัง เรียกว่าเรื่องเดียวแต่มีครบทุกแบบครับ

หนังมีเรื่องราว “ความแค้น” และ “ปมของตัวละคร” เป็นแรงผลักดันเรื่องราวให้ดำเนินไป ทำให้ผู้ชมอย่างเราๆ สนุกไปกับการติดตามเรื่องราวและการตัดสินใจของพวกเขาครับ จุดนี้ทำให้ไม่น่าเบื่อ เพราะมันมีปมดราม่าคอยขับเคลื่อนเรื่องราวอยู่เป็นระยะ ในแง่ของแอ็กชันก็มีเท่าที่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่มีการบู๊กันก็ถือว่ามันส์ตามสไตล์หนังดวลปืนครับ

นอกจากลีลาดั้งเดิมของหนังคาวบอยรุ่นเก่าแล้ว หนังยังสอดแทรกสไตล์หนังร่วมสมัยรุ่นใหม่ลงไป ไม่ว่าจะคาแรคเตอร์ตัวละครที่แม้จะดูคาวบอยสุดๆ แต่ก็แทรกความเป็นคนรุ่นใหม่ลงไป ไม่ว่าจะบทพูดหรืออารมณ์ขันที่แตกต่างจากหนังคาวบอยสมัยก่อน จึงพูดได้อย่างเต็มปากครับว่าหนังเรื่องนี้ผสมความเป็นคาวบอยรุ่นเก่าเข้ากับหนังแอ็กชันยุค 80 – 90 ได้อย่างพอเหมาะจริงๆ

ดาราทุกคนเลือกมาดีทั้งนั้นครับ Kline เวิร์กมากๆ ในบทมือปืนฝีมือดีที่ต้องมาตั้งคำถามว่าตัวเองเลือกทำงานกับฝ่ายที่ถูกหรือไม่ เพราะแม้เขาจะทำงานเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่เจ้านายของเขากลับเลวแสนเลว แล้วอะไรล่ะคือความถูกต้อง? ส่วน Glenn ก็ไม่ต้องทำอะไรมากครับ แค่หน้านิ่งๆ แต่แฝงด้วยความจริงจังก็ทำให้ตัวละครนี้ดูแน่นขึ้นมาทันที

Glover ก็น่าจดจำในบทคนผิวสีที่มักจะโดนคนขาวกดขี่ตลอด แต่รายที่ถือเป็นสีสันได้อย่างดีคือ Costner ที่ทำตัวแสบสันต์ได้ตลอดๆ ซึ่ง Kasdan ตั้งใจแคสเขามารับบทนี้เพื่อเป็นการชดเชยจากการที่ในเรื่อง The Big Chill นั้น บทของ Costner โดนตัดออกไปจนหมดครับ ซึ่งก็ถือเป็นการชดเชยที่เจ๋งเพราะ Costner จัดว่าได้แจ้งเกิดเพราะบทนี้ทีเดียวครับ (นี่ยังถือเป็นการแสดงในหนังคาวบอยเป็นครั้งแรกของเขาด้วยครับ)

อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่เคยเกิดกับ Costner ก็มาเกิดกับ Rosanna Arquette อีกครั้งครับ เพราะจริงๆ Arquette มีบทมากกว่าที่เราเห็นในหนัง แต่ด้วยความที่หนังมีรายละเอียดเยอะและตัวละครแยะเลยทำให้เส้นเรื่องของเธอถูกตัดออกไปจนเหลือแค่เท่าที่เห็น (ซึ่งก็ถือว่าน้อยมาก) และนั่นจึงเป็นเหตุผลครับว่าทำไมชื่อของเธอถึงได้ขึ้นเป็นคนต้นๆ ของเครดิต (เพราะจริงๆ บทต้องเยอะกว่าที่เห็นนั่นเอง)

และหนังเรื่องนี้ยังถือเป็นการแสดงหนังใหญ่ครั้งแรกของ Richard Jenkins (ที่ในเวลาต่อมาจะได้เข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก The Shape of Water) และ Jeff Fahey (ที่ล่าสุดยังแสดงใน Alita: Battle Angel) ครับ

ในแง่ของงานสร้าง หนังถือว่าถึงฟอร์มครับ ลงทุนไป $26 ล้าน (สำหรับสมัยนั้นถือว่าไม่น้อยทีเดียว) มีการสร้างฉากสร้างเมืองขึ้นมาสำหรับใช้ถ่ายทำในหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วพอถ่ายเสร็จฉากเมืองที่ว่านี้ก็ถูกเก็บไว้ใช้ถ่ายหนังเรื่องอื่นๆ ต่อครับ ไม่ว่าจะ Young Guns, Wyatt Earp, Last Man Standing, Lonesome Dove, All the Pretty Horses และ Wild Wild West ทุกเรื่องล้วนใช้ฉากเมืองที่สร้างจากหนังเรื่องนี้ทั้งสิ้น (จุดสังเกตสำคัญของเมืองนี้คือจะมีอักษร Kasdan Ironworks ประทับอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของเมืองครับ ถ้าท่านเห็นชื่อนี้ในฉากของหนังเรื่องไหน ก็มั่นใจได้ว่าหนังไปถ่ายทำกันที่ฉากเมืองนี้นี่แหละ)

ครับ หนังถือว่าสนุก น่าติดตาม อาจไม่ถึงกับคลาสสิกตลอดกาล แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าคอหนังคาวบอยตะวันตกควรมีโอกาสลองลิ้มสักครั้ง เพราะหนังทำได้ลงตัวจริงๆ สำหรับหนังแนวนี้

จริงๆ หนังจะมีภาคต่อออกมาด้วยนะครับ เสียดายที่รายได้หนังไม่มากพอ ทั้งๆ ที่ตัวหนังได้รับคำชม (ทำเงินไปประมาณ $33.2 ล้าน ซึ่งถือว่าไม่คุ้มทุน) ซึ่งเหตุผลที่หนังทำรายได้ไม่มากส่วนหนึ่งก็เพราะหนังฉายหลัง Back to the Future 1 สัปดาห์ครับ ซึ่งเรื่องนั้นก็ฮิตติดลมบนโกยไปกว่า $210 ล้าน

ทีนี้พอทำเงินไม่เข้าเป้า ภาคต่อจึงไม่ได้ถือกำเนิดออกมาครับ