IMDB : tt0117665
คะแนน : 7
ถ้าตีความจากชื่อไทยของ แล้วอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นหนังแอ็กชันน่ะนะครับ แต่จริงๆ แล้วนี่คือหนังดราม่าเข้มข้นที่แม้จะไม่มีแอ็กชันมันส์ๆ แต่ก็มีเนื้อหาดีๆ และมีอะไรให้ลุ้นไม่น้อยเหมือนกัน
ครึ่งแรกหนังเล่าถึงชีวิตในวัยเยาว์ของพวกเขาเรื่อยไปจนถึงเรื่องในสถานพินิจครับ แล้วครึ่งหลังก็เล่าถึงตอนที่พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีเหตุให้พวกเขา 2 ใน 4 คนต้องข้อหาฆ่าคนตาย อันนำมาสู่การสืบสวนและแก้ต่างในชั้นศาล ซึ่งคดีที่ว่านี่ก็สืบเนื่องจากเรื่องเมื่อวัยเด็กนั่นแหละครับ
ตัวหนังจัดว่าทำได้ดีและน่าติดตามทีเดียวครับ เรื่องช่วงวัยเด็กหนังก็สะท้อนให้เราเห็นว่าชีวิตของพวกเขานั้นเติบโตขึ้นมาอย่างไม่เหมาะสม แต่มันก็สมเหตุผลเพราะพวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่จัดว่าเสื่อมโทรมไม่น้อย พ่อแม่ก็ไม่มีเวลาสอน (แต่มีเวลาทะเลาะตีกัน) ผู้ใหญ่ก็เอาแต่พูดเรื่องเจ้าพ่อและผู้มีอิทธิพล และภาพที่พวกเขาเห็นคือ คนที่จะอยู่รอดได้ก็ต้องมีสังกัด มันจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะโตขึ้นเป็นกลุ่มเด็กที่พยายามเอาตัวรอดและเห็นแก่ตัว ก็ในเมื่อสังคมมันหล่อหลอมเขามาแบบนี้น่ะ
ถือเป็นหนังที่สะท้อนสังคมได้ดีน่ะครับ มันทำให้เห็นเลยว่าเบ้าหลอมคนในสังคมมันส่งผลแค่ไหน แต่กระนั้นพวกเด็กๆ ก็ยังได้เจอคนดีบ้าง อย่างคุณพ่อบ็อบบี้ (Robert De Niro) ที่พยายามสอนเด็กๆ ให้เป็นคนดีเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็สะท้อนความจริงอีกนั่นแหละครับว่า สังคมย่านนั้นจะมีแค่คุณพ่อบ็อบบี้คนเดียวที่เป็นแสงสว่างส่องทางให้เด็กๆ จึงไม่แปลกเลยหากเด็กๆ จะหลงเดินไปในทางที่ผิดมากกว่าจะเป็นทางที่ถูก
แต่ขณะเดียวกัน แม้คนอย่างคุณพ่อจะมีแค่คนเดียว แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีเลย เพราะอย่างน้อยแม้เด็กๆ จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นหลัก แต่พวกเขาก็พอจะมีจิตสำนึกในด้านดีบ้าง เหมือนเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความดีไว้ในตัวน่ะครับ จริงอยู่ที่ตอนเด็กๆ (ที่สิ่งแวดล้อมไม่อำนวย) มันอาจไม่เจริญงอกงาม แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่รอการเติบโตเมื่อพวกเขาโตขึ้น ผ่านอะไรๆ มามากขึ้น
สอนบ้างยังดีกว่าไม่สอนเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ
ผมชอบการเล่าเรื่องในช่วงวันที่เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตเด็กๆ 4 คนนะครับ คือมันเริ่มแบบง่ายๆ ทุกอย่างดูปกติธรรมดาและไม่น่าจะมีอะไร แต่ภายในชั่ววินาทีทุกอย่างกลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเพราะเรื่องเลวร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว มันสอนให้เราฉุกคิดเหมือนกันครับว่าการทำอะไรเพียงเพื่อความสนุกชั่วครั้ง อาจแลกมาด้วยอนาคตที่ดับวูบลงไปต่อหน้าต่อตา
ถัดมาก็เรื่องราวที่เกิดในสถานพินิจ ดูแล้วก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อยครับ ซึ่งหนังก็เลือกที่จะถ่ายทอดแบบพอดี ไม่หนักเกินไป แต่ก็ไม่เบาเกิน น้ำหนักการถ่ายทอดเรื่องราวถือว่าพอดีๆ ทำให้เรารับรู้เรื่องราวและความรู้สึกของตัวละคร แต่ไม่ถึงขั้นเลยเถิดจนทำให้เรารู้สึกรับไม่ได้
ส่วนเรื่องในครึ่งหลังก็เป็นการไต่สวนคดีในชั้นศาลครับ ช่วงนี้ก็เดินเรื่องได้น่าติดตาม มีเหตุพลิกผันและประเด็นให้เราสนใจใส่มาตลอดจนเรื่องราวจบ ทั้งหมดนี่ก็ต้องชม Barry Levinson ที่กำกับหนังเรื่องนี้ออกมาได้กำลังดี สไตล์การเล่าเรื่องชวนให้นึกถึงหนังของ Martin Scorsese อย่าง Goodfellas (เล่าเรื่องฉับไว เดินไปข้างหน้า ได้น้ำและได้เนื้อ) แต่ก็มีจังหวะผ่อนจังหวะทิ้งช่วงให้คนดูสลับอารมณ์บ้าง
ดาราในเรื่องก็ระดับมืออาชีพครับ ทุกคนเล่นได้ดี แต่หากจะมีอะไรติดในใจอยู่หน่อยก็คงเป็น 2 ตัวนำอย่าง Jason Patric ในบทเชคส์ตอนโต และ Brad Pitt ในบทไมเคิลตอนโต รายแรกนั้นแสดงได้ดีตามที่บทกำหนดครับ แต่กลับไม่ค่อยมีรัศมีความเป็นตัวนำสักเท่าไร เพราะจริงๆ บทของเขาเป็นเหมือนตัวเอกน่ะครับ เป็นคนเล่าเรื่องให้คนดูได้รับรู้ (ขนาดที่โปสเตอร์หน้ายังใหญ่กว่าคนอื่นๆ เลย) แต่ความเด่นกลับดูไม่มากเท่าที่ควร
อีกคนก็คือ Pitt ที่จริงๆ แล้วบทไมเคิลเนี่ยมันมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าที่เห็น (ใครดูจบแล้วคงทราบ) บทนี้มันเลยต้องดูฉลาดลึก ดูนิ่งแต่มีพลัง แต่รัศมีของ Pitt ในเรื่องมันยังไม่ทำให้เราเชื่อได้ขนาดนั้นว่าเขาจะมีความซับซ้อนลุ่มลึกอย่างที่บทบอกว่าเป็น และยิ่งตัวละครวัยเด็กของไมเคิลรับบทโดย Brad Renfro ก็ยิ่งรู้สึกน่ะครับ เพราะ Renfro แสดงบทไมเคิลวัยเด็กได้ดูฉลาดและมีความเป็นผู้นำ มีความเป็นหัวโจกค่อนข้างมาก เลยกลายเป็นว่าบทไมเคิลตอนโตจะโดนบทไมเคิลตอนเด็กข่มอยู่ไม่น้อย
แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็พอจะมองข้ามได้น่ะครับ เพราะอย่างน้อยดาราแวดล้อมก็แสดงกันได้ดี De Niro ดูดีมากๆ กับบทคุณพ่อบ็อบบี้ ดูแล้วเชื่อจริงๆ ว่าเขาหวังดีต่อเด็กๆ ในขณะที่ Bacon ก็ดูร้ายมาแต่ไกล คือเห็นแว่บแรกก็รู้แล้วน่ะครับว่านายคนนี้มีเจตนาไม่ดีแน่นอน และรุ่นใหญ่อีกคนก็คือ Dustin Hoffman กับบทที่ดูไม่มีอะไร เป็นแค่ทนายคนหนึ่ง แต่ลีลาความธรรมดาของทนายคนนี้กลายเป็นการเพิ่มความไม่ธรรมดาให้กับบทนี้ไปได้โดยปริยาย
ถือเป็นหนังชีวิตที่เข้มข้นดีครับ ตัวหนังอาจไม่หวือหวาอะไร และการสืบสวนบนศาลก็อาจจะไม่ได้ลุ้น (แบบที่หนังแนวนี้ชอบทำกัน) แต่มันดูพอครับ เพราะจริงๆ สิ่งที่หนังต้องการบอกคือการเล่าชีวิตของเด็ก 4 คนที่ต้องรับผลกรรมที่ตัวเองได้กระทำไว้ จะมองว่าเป็นหนังอุทาหรณ์สอนใจก็ได้ครับ เพราะแม้บทลงเอยของหนังอาจจะดูแฮ้ปปี้ แต่เมื่อหนังเล่าถึงชะตาชัีวิตของแต่ละคนให้เราได้รับรู้ เราก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าคนที่เพียรทำดี หรือเพียรทำในสิ่งที่จะยกตัวเราให้พ้นจากเรื่องไม่ดี ก็จะสามารถมีชีวิตที่ดีได้ แต่หากใครไม่คิดตจะกลับตัวกลับใจ ไม่คิดจะนำพาชีวิตตัวเองให้ไกลจากวังวนอันต่ำทราม สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นก็ต้องพบจุดจบที่ไม่สวยงามอยู่ดี