ค้นหาหนัง

Star Wars Episode I: The Phantom Menace

Star Wars Episode I: The Phantom Menace
เรื่องย่อ : Star Wars Episode I: The Phantom Menace

อัศวินเจได 2 คน ไคว กอน จินน์ (เลียม นีสัน) และ โอบีวัน (อิวาน แมคเกรเกอร์) ที่ถูกส่งไปเตือนราชินีอามิดาลา (นาตาลี พอร์ทแมน) ให้ระวังแผนชั่วร้ายในการยึดดาวเคราะห์นาบูของพระองค์ อย่างไรก็ดี อำนาจมืดหรือ Dark side สามารถเข้ายึดครองดาวนาบูได้ ดังนั้นอัศวินทั้งสองจึงต้องพาราชินีอามิดาลาเดินทางไปยังสหพันธ์รัฐกาแลกติก เพื่อขอความช่วยเหลือและในระหว่างทาง ทั้ง 3 คนก็ได้พบกับ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ทาสวัย 8 ขวบ ชิ่งมีความสามารถและสติปัญญาที่เฉียบแหลม ในที่สุดทั้ง 4 คน ได้เดินทางมาร่วมกันไปยังสหพันธรัฐ แต่ทางสหพันธรัฐก็ได้ปฏิเสธคำของราชินีอามิดาลา ดังนั้นทั้ง 4 จึงได้เดินทางกลับไปต่อสู้กับผู้ยึดครองดาวนาบูด้วยตนเอง ซึ่งฝ่ายผู้ร้ายนั้นคือ ดาร์ธ มอล (เรย์ ปาร์ค) นี่คือการเดินทางของเด็กน้อย อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ เพื่อมุ่งไปยังความฝันของเข และการเผชิญหน้ากับความกลัวท่ามกลางวิกฤตการณ์ของแกแล็คซี่

IMDB : tt0120915

คะแนน : 7



แล้วตำนานอวกาศก็กลับมาครับ คราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไตรภาคที่แล้ว (หรือตอนที่ 4 – 6) หนังจะเล่าถึงชีวิตของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ (Jake Lloyd) เด็กน้อยที่จะได้มาเป็นดาร์ธ เวเดอร์ในเวลาต่อมา

พร้อมกับแนะนำตัวละครอย่าง โอบิวัน เคนโนบี (Ewan McGregor) สมัยที่ยังเป็นเจไดหนุ่ม, เจ้าหญิงเพดเม่ อามิดาล่า (Natalie Portman) ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของอนาคิน เป็นแม่ให้กับคู่แผด ลุคและเลอาในตำนานบทต่อไป

กับภาคนี้ หนังขาย Effect กันเต็มที่ครับ แน่นอน ด้านเนื้อหาไม่ค่อยมีอะไรนัก ดูเอาจินตนาการแล้วกันครับ แค่ Effect ก็ละลานตาแล้ว ความมันส์ก็โอเคนะครับ การตีกันช่วงท้ายเรื่องทำได้ยิ่งใหญ่ดีทีเดียว รวมไปถึงการดวลดาบเลเซอร์ ซึ่งภาคนี้ถือได้ว่าดวลกันมันส์กว่าตอนที่ผ่านๆ มามากทีเดียว

ส่วนดารานี่ผมว่าก็ขายฝีมือทั้งนั้นนะครับ ซึ่งถือเป็นสไตล์ของ George Lucas เหมือนกันที่พี่แกจะไม่ค่อยเอาชื่อดารามาขายเท่าไหร่ แกจะคัดคนตามความเหมาะสม (แล้วมันก็เหมาะสมจริงๆ ด้วย) Liam Neeson มารับบท ไควกอน จิน ปรมาจารย์เจไดที่ปเ้นอาจารย์ของโอบิวันนะครับ ท่าทางของเขาดูนิ่งมาก ส่วน McGregor กับบทโอบิวันนั้น ผมว่ายังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ดูธรรมดาน่ะ พอๆ กับ Portman ที่ยังดูไม่มีอะไรนักกับบทเพดเม่ ซึ่งทั้งสองคนนี้ในภาคต่อๆ ไปบทจะเข้มขึ้นครับ แล้วฝีมือก็จะทวีตามไปด้วย ในขณะที่ Lloyd ก็พอไปได้กับบทอนาคินครับ เพียงแต่จะไม่เด่นอะไรนัก

ผมว่าภาคนี้เรื่องตัวละครอย่างค่อนข้างแบนราบครับ มิติยังไม่มากเท่าไหร่ คนที่เข้าท่าจริงๆ นอกจาก Neeson แล้วก็มี Samuel L. Jackson ที่มาเป็นเมซ วินดู อาจารย์เจไดดาบสีม่วงนั่นแหละฮะ ที่น่าจดจำหน่อย นอกนั้นจะธรรมดาซะมากกว่า

อย่างที่บอกครับ มันเน้นตรง Effect มากกว่า ดูเอาเพลินน่ะครับ เอามันส์ ซึ่งก็ยังถือว่าพอจะมันส์อยู่บ้าง ส่วนเรื่องเบื้องลึกและมิติผมว่ามันออกจะโล่งอยู่น่ะครับ ถ้ามีอะไรมากกว่านี้คงดี แล้วฉากโชว์ Effect บางอันตัดไปบ้างก็ไม่เลว อย่างไอ้ฉากแข่งยานนั่น ผมว่ามันไม่ค่อยมีอะไรน่ะครับ จริงๆ เอาตรงนั้นออกแล้วไปเพิ่มตรงเนื้อหาเชิงดราม่าจะเข้าท่ากว่าเยอะเลย (ในความคิดผมนะครับ)

สรุปได้ว่ามันเหมาะสำหรับแฟนๆ สตาร์ วอร์ส ครับ ถ้าลองว่าไม่ชอบหนังชุดนี้ ผมว่าคุณคงเฉยๆกับหนังน่ะครับ เพราะมันมาทางเดียวกันเลย ที่แตกต่างก็แค่ Effect ที่เนี๊ยบและยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้นเอง

สำหรับผม ชอบครับ ดูเอาเพลินๆ ดี ส่วนเรื่องเนื้อหานั่นต้องไปคาดหวังเอาตอนต่อๆ ไปครับ คิดซะว่าตอนนี้เอามันส์ล้วนๆ (จะว่าไปนี่ก็เป็นตอนที่อ่อนที่สุดของหนังชุดนี้ด้วยล่ะ) ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรครับ เพราะมันไม่มีอะไรจะเขียน ดูแล้วเอามันส์กับเอา Effect อย่างเดียวเลยน่ะ … อ้อ จริงๆ มีดีอย่างนึง นั่นคืองานดนตรีของ John Williams ครับ ที่งัดเอาฝีมือออกมาแบบเต็มๆ เป็นดนตรีที่ทรงพลังมากสุดๆ เลยครับ โดยเฉพาะตอนที่ไควกอน – โอบิวัน ต้องตีกับดาร์ธโมลในช่วงท้ายเรื่องนั่นน่ะครับ เร้าใจมากจริงๆ