IMDB : tt0100973
คะแนน : 7
The Swordsman ได้รับเสียงวิจารณ์จากการดัดแปลงว่าเละเทะเพราะทำให้บางอย่างไม่ใกล้เคียงกับต้นฉบับเลยสักนิด แม้แฟนๆจากฉบับนวนิยายจะไม่พอใจแต่สิ่งที่ตัวหนังยังรักษาเอาไว้อย่างเหนียวแน่นคือใจความสำคัญของเรื่องที่ต้องการกัดจิกการเมืองของจีนและผู้คนในมุมมองที่กว้างขวางต่อโลกความเป็นจริงที่ไม่ได้มีดีกันซะทุกคน เริ่มแรกได้เล่าถึงการตามล่าคัมภีร์รัศมีตะวันของฝ่ายขันทีเพื่อนำไปคืนแก่ราชสำนัก ทว่าคัมภีร์รัศมีตะวันไม่ใช่คัมภีร์ธรรมดาแต่เป็นคัมภีร์ที่บรรจุยอดวิชาเอาไว้ ทำให้ไม่ว่าใครก็อยากได้เคล็ดลับวิชานี้เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่ตนเองในยุทธภพ แน่นอนว่าขันทีที่มีใจมักใหญ่ก็เลือกจะได้คัมภีร์นี้มาอยู่มือเพื่อเพิ่มความสามารถแก่ตนเองไม่ให้มีใครเทียบได้ ฉะนั้นแง่ของภายนอกคือการทำตามหน้าที่เพื่อจับคนที่ขโมยไปและนำของกลับคืนมา แต่ภายในแล้วมีใจมุ่งอยากได้เองโดยไม่สนว่าใครจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง นี้เองจึงเสมือนการบอกถึงตำแหน่งที่มียศศักดิ์มากเพียงใดก็ใช่ว่าใจจะสูงส่งตามไปด้วย เพราะไม่ว่าจะทรยศต่อราชสำนักหรือการใช้ประโยชน์คนข้างตัวเพื่อตัวเองเพียงคนเดียวก็ล้วนยังคงมองเห็นอำนาจสำคัญกว่าความถูกต้อง
นอกจากคนในราชสำนักที่ต้องการคัมภีร์รัศมีตะวันเองแล้วก็ไม่เว้นแต่งักปุ๊กคุ้งอาจารย์ของเล่งฮู้ชงที่รอฉกฉวยตลอดเวลา ซึ่งแต่เดิมการส่งเล่งฮู้ชงมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่ส่งข่าวแต่รวมถึงการดูท่าทีของคัมภีร์รัศมีตะวันมีอยู่จริงแท้แค่ไหนเพื่องักปุ๊กคุ้งจะไม่ได้ไม่เสี่ยงลงมือเอง แต่เรื่องเกิดไม่สำเร็จทำให้ขุนนางไม่รอดจากเงื้อมมือขันที แต่ก่อนตายได้บอกที่ซ่อนคัมภีร์รัศมีตะวันแก่เล่งฮู้ชงโดยให้นำไปมอบกับลูกชายของเขา ต่อมาในภายหลังที่เล่งฮู้ชงหนีไปกับความลับที่ซ่อนของคัมภีร์ก็ได้เป็นศัตรูกับราชสำนักเต็มตัว อีกทั้งฝ่ายขันทีได้ตามเก็บคร่าชีวิตลูกชายของขุนนางเพื่อให้ออเยิง (Jacky Cheung) ได้ปลอมตัวเข้าไปนำความลับที่ซ่อนของคัมภีร์รัศมีตะวันมาจากเล่งฮู้ชง แต่เรื่องได้บานปลายไม่ว่าใครก็อยากรู้ที่ซ่อน แม้จะเป็นองค์รักษ์ทำงานรับใช้ก็ยังคิดครอบครองเป็นของตัวเองในท้ายที่สุด สำหรับเรื่องนี้จุดเด่นคือการเข้าถึงใจคนที่วางตัวเป็นที่หนึ่ง หรือจะบอกว่าทุกคนล้วนมีด้านที่เห็นแก่ตัวทั้งสิ้น จะมีเพียงคนที่ไร้ความสามารถหรือไม่คนที่เสียสติเท่านั้นที่ไม่สนเรื่องของยุทธภพ เนื่องจากสิ่งนี้คือความใฝ่ฝันของชาวยุทธที่อยากรับรู้เรื่องทางโลกและสร้างชื่อเสียงให้ทุกคนรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม กระนั้นยังมีเพียงเล่งฮู้ชงที่เริ่มตระหนักว่าการท่องยุทธภพคืออะไรกันแน่ในความเป็นจริง
ฉากประทับของเรื่องนี้ที่สรุปได้เข้าถึงแก่นของความเป็นจริงคือการนั่งสนทนากับจอมยุทธเฒ่าที่เก็บตัวอย่างลับๆจนเล่งฮู้ชงไม่รู้เลยว่ามีวิทยายุทธ หนำซ้ำยังเป็นวิชาที่แกร่งกล้าจนน่าจะสร้างชื่อเสียงได้ไม่น้อย ในมุมมองของคนหนุ่มที่พึ่งออกโลกกว้างอย่างเล่งฮู้ชงมองเป็นเสมือนการได้ท่องเที่ยวเจอคนแปลกหน้ามากความสามารถที่แตกต่างกันไป คือของดีที่ควรมีไว้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และชื่อเสียงประหนึ่งนักผจญภัยที่ลงชื่อว่าตัวเองเคยมาที่นี้ ในความคิดอาจเป็นเรื่องสนุกให้โลกกว้าง กระนั้นยิ่งโลกกว้างก็ยิ่งมีคนที่หลากหลายตามไปด้วย เฉกเช่นความจริงเกี่ยวกับสำนักหัวซานที่เนื้อแท้ถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายจากความคิดไม่ตรงกันเกิดเป็นวิชากระบี่และพลังรัศมีจากแทนที่จะรวมเป็นหนึ่งสำนักที่ยึดมั่นในสามัคคี สาเหตุมาจากความแข่งขันอยากเป็นใหญ่ไม่ยอมใคร ไม่เว้นแต่งักปุ๊กคุ้งอาจารย์ของเล่งฮู้ชงที่คารมประหนึ่งหยดน้ำผึ้งแต่ใจคิดมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตัว ในฉากที่จอมยุทธเฒ่าได้สอนไม่ใช่แค่ความจริงในโลกกว้างที่โหดร้ายและซับซ้อนจนเป็นเหตุให้ตัวเองเร้นกายเก็บชื่อเสียงเพื่ออยู่อย่างสงบเท่านั้น ยังรวมถึงการบอกใจคนที่ภายนอกเป็นยังไงภายในไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไปอีกด้วย นอกจากสนทนากันไม่กี่นาทีที่แสดงถึงคติของโลกกว้างแล้วยังสอนวิชากระบี่สันโดษให้เล่งฮู้ชงโดยไม่หวังค่าตอบแทนหรือนับเป็นอาจารย์ศิษย์ก็ได้เพราะมองว่าวิชาไม่ได้มีไว้ฆ่าคนแต่ไว้ใช้ปกป้องคน การให้วิชาแก่เล่งฮู้ชงที่เสมือนนักท่องยุทธที่ไม่ประสีประสาจึงไม่ต่างกับให้เอาไว้ป้องกันตัวและให้นำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง เผื่ออย่างน้อยเป็นแนวให้คนรุ่นหลังได้ปฏิบัติสืบต่อไป
ด้วยภาพลักษณ์การท่องยุทธภพและแย่งชิงคัมภีร์รัศมีตะวันที่ให้อารมณ์เป็นหนังฟอร์มใหญ่จากนวนิยายชื่อดัง แต่เมื่อรับชมก็กลายเป็นหนังฟอร์มเล็กที่อาศัยการเล่าเรื่องวกวนไปมาไม่ได้ไปไหนไกล เริ่มต้นที่โรงเตี้ยมก็จบลงที่โรงเตี้ยมเช่นกัน กาารเล่าเรื่องทำได้ราบลื่นและสนุกสนานไปกับเล่งฮู้ชงและงักเล้งซังที่เป็นศิษย์ ประหนึ่งได้เห็นคู่กัดคู่ฮาที่มักมีอะไรให้ขำขันไม่แตกต่างกับการใช้ชีวิตที่ไม่ซีเรียสและจริงจัง เล่งฮู้ชงคือหนุ่มจ้าวสำราญที่ชื่นชอบการดื่มเหล้า ด้านเพลงกระบี่ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย ที่ได้คือวาจาท่าทางที่จริงใจและเล่ห์เหลี่ยม แต่เล่ห์เหลี่ยมไม่ได้เกิดจากการโกงหรือหักหลังในด้านไม่ดี จะเป็นในทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้ใช้เจรจาต่อรองไม่ให้เกิดการสูญเสียมากกว่า แม้เรื่องการต่อสู้จะไม่ได้เก่งแต่เรื่องคำพูดคำจาเป็นอะไรที่เหมาะกับคำว่าเจ้าสำราญจริงๆเพราะขนาดตกที่นั่งลำบากยังไม่รู้สึกถึงความผวาแต่เลือกลุยไปข้างหน้าอย่างมีเหตุผล อีกประการที่สำคัญคือเล่งฮู้ชงไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนเลยแม้กระทั่งอาจารย์ของตัวเอง ซึ่งนั้นเองที่ทำให้เขาคือความเสมอภาคที่ไม่ได้เอียนเอียงไปทางใดทางหนึ่งเพราะมีความเป็นกลาง ไม่ว่าจะราชสำนักหรือหัวซานก็ล้วนต่างแย่งชิงดีชิงเด่นกันทั้งคู่ สำหรับเล่งฮู้ชงไม่ต้องการชื่อเสียงหรือคัมภีร์แต่เป็นความสุขในการท่องยุทธภพ
ระหว่างการหลบหนีของราชสำนักทำให้เจอกับเยิ่นอิ๋งอิ๋ง (Sharla Cheung) ธิดาเทพแห่งพรรคตะวันจันทรา ซึ่งในภายหลังกลายเป็นคนสนิทของเล่งฮู้ชงเพราะมีเครื่องพิณที่ได้จากการช่วยเจ้าสำนักตะวันจันทรา (Ma Wu) แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยให้รอดชีวิตได้แต่ก็ได้เครื่องเล่นพิณเป็นการตอบแทนและมอบเพลงเย้ยยุทธจักรเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่คนรุ่นหลัง เมื่อเยิ่นอิ๋งอิ๋งรู้ว่าเป็นเช่นนั้นจึงได้ขับพิษเพื่อรักษาเล่งฮู้ชง เนื่องจากต้องการรู้ว่าไปได้พิณมาได้อย่างไรจึงได้วางพิษให้บอกความจริง ในมุมมองของเยิ่นอิ๋งอิ๋งอาจจะโลกในแง่ร้ายไปบ้างแต่เมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและเหงาไปในตัว ซึ่งไม่แปลกเพราะเยิ่นอิ๋งอิ๋งคือผู้หญิงที่มีตำแหน่งสูงในพรรคและต้องทำตามกฎเพื่อรักษาหน้าตาของพรรคตะวันจันทราให้ดูน่าแกร่งขามเพราะมักถูกรังควาญอยู่เป็นประจำ ในฉากนี้จะมีมุมในเรื่องของความรักแต่เป็นรักข้างเดียวของเยิ่นอิ๋งอิ๋งที่มีต่อเล่งฮู้ชง ส่วนเล่งฮู้ชงไม่ได้รับรู้ว่าเยิ่นอิ๋งอิ๋งชอบตนจึงทำได้แค่คบกันเป็นเพียงสหายเท่านั้น ฉะนั้นนอกจากเรื่องของแอ็คชั่นผจญภัยแล้วก็ยังมีเรื่องของความรักอีกด้วย
ถ้าว่ากันตามฉบับนวนิยายกับฉบับหนังจะมีหลายอย่างที่แตกต่างกันพอสมควรคือเรื่องของตัวละครที่ในหนังไม่ได้บอกที่มาที่ไปสักเท่าไร บางตัวโผล่ออกมาได้น่าสนใจแต่อยู่ได้ไม่นานก็หายหรือจากไปเสียแล้ว ซึ่งถ้าเป็นแฟนนวนิยายคงตอบกันได้ว่าคือใคร แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักอาจมีงงอยู่บ้างในเนื้อเรื่อง ส่วนจะงงมากน้อยแค่ไหนถ้าเอาตามความจริงไม่จำเป็นต้องรับรู้ก็ยังได้เพราะได้มีบอกว่าตัวเองคือใครคร่าวๆ อย่างจอมยุทธเฒ่าคือฟงชิงหยางเป็นถึงผู้อาวุโสหัวซานแต่เบื่อทางโลกถึงเร้นกายหายตัวไป แม้จะพูดถึงไว้ไม่มากแต่พอจะรู้ว่าคือใครอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีส่วนสำคัญของเรื่องมากนักเพราะประเด็นอยู่ที่การแย่งชิงคัมภีร์รัศมีตะวัน การปรากฎตัวของฟงชิงหยางอาจเป็นความบังเอิญที่เล่งฮู้ชงได้พบ กระนั้นเล่งฮู้ชงมีใจเมตตาได้แบ่งของกินให้ส่วนหนึ่งพร้อมบอกให้หนีไปทางอื่นเพราะตัวเองมีคนของราชสำนักตามล่าอยู่ บางทีการเห็นความคุณธรรมของเล่งฮู้ชงทำให้ฟงชิงหยางเลือกสอนวิชาให้ หรือจะเยิ่นอิ๋งอิ๋งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงแต่เลือกจะช่วยเล่งฮู้ชงในตอนท้ายเป็นการตอบแทนพระคุณที่เคยช่วยเจ้าสำนัก ซึ่งเจ้าสำนักคือใครนั้นไม่สามารถบอกได้แน่ชัดนอกจากเป็นคนที่กำลังปลงตัวเองจากทางโลกแล้วหนีไปใช้ชีวิตของตัวเอง
he Swordsman มีความพิถีพิถันในการเล่าเรื่องสไตล์หนังกำลังภายในด้วยภาพลักษณ์ของใจคนเป็นที่ตั้งมากกว่าเรื่องการต่อสู้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีการสู้กันเพราะเมื่อไรที่ถึงคราวต้องสู้นั้นก็เหมือนการได้เห็นใจคนที่แท้จริงว่าที่สู้ไปนั้นเพื่อหวังประโยชน์ทางใด เสน่ห์ของเนื้อหาคือต้องการบอกในมุมที่กว้างขวางเกี่ยวกับใจคนที่มุ่งหาชื่อเสียงและความโลภให้ตัวเองเป็นหนึ่งในยุทธภพโดยไม่สนว่าคนรอบข้างจะเป็นอย่างไร การเล่าเรื่องทำได้น่าติดตามตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่องพร้อมกับการทิ้งคำถามปลายเปิดว่าสรุปแล้วการท่องยุทธภพคืออะไรกันแน่ ในโลกความเป็นจริงคนผู้ดีคือคนร้ายเพราะอะไร ทำไมคนที่ไม่มีความโดดเด่นหรือชื่อเสียงถึงเป็นคนดีมีคุณธรรมได้ สุดท้ายที่น่าสนใเป็นการกัดจิกการตามล่าคัมภีร์รัศมีตะวันเพราะไม่ว่าใครที่แย่งชิงสุดท้ายต่างไม่ได้อะไรเลยนอกจากการเสียศักดิ์ศรีและชื่อเสียง ในไคล์แม็กซ์จะได้เห็นการว่างักปุ๊กคุ้งคือคนที่เห็นแก่ตัวมากที่สุดในเรื่อง ผิดกับขันทีที่แม้จะโลภมากก็ยังรู้จักประเมินตัวเองตลอดเวลา ทว่างักปุ๊กคุ้งไม่สนวิธีการแม้จะให้ลูกศิษย์ตัวเองไปรับเคราะห์แทนก็ตาม เนื้อเรื่องจัดว่าสนุกอย่างมากและมีความคลาสสิคในการเล่าเรื่อง ในส่วนของฉากแอ็คชั่นทำได้ดีไม่แพ้กันแค่อาจไม่ได้ถึงขั้นมันส์มาก จะได้เสน่ห์ที่ดูแล้วเหมาะสมและเข้าทางมากๆ ถึงไม่เยอะแต่เพียงพอสำหรับหนังกำลังภายในที่น่าจดจำเรื่องนี้แล้ว