IMDB : tt0452594
คะแนน : 7
สิ่งแรกที่ผมเรียกหาหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบคือ ยาพาราซักสองเม็ดครับ (เหอ เหอ เหอ ดูหนังซะจับไข้เลยผม)
คืองี้ครับตอนแรกผมตีตั๋วดูหนังกะจะหาหนังสบายๆ ซักเรื่องดูให้มันผ่อนคลายหน่อย ก็เลือกในใจล่ะครับว่าจะดูแก๊งชะนี แต่คนที่ไปด้วยเกิดเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก็เอากะเธอหน่อยอ้ะนะ อีกอย่างหนังมันทำเงินได้ตั้งร้อยล้าน คำชมก็ไม่เลว ก็เลยอยากลองซะหน่อย และในใจตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า “มันต้องเป็นหนังฮาแน่ๆ”
แล้วไงล่ะครับ พอดูจบเล่นเอามึนตึ่บๆ ไม่รู้เพราะหนังอย่างเดียวหรืออากาศล่ะครับ (แต่วันนั้นอากาศดีนะผมว่า) วิ่งรี่หายามากินแทบไม่ทัน
นิทานเรื่องนี้ของผมสอนให้รู้ว่า ถ้าอยากดูหนังคลายเครียดล่ะก็ ควรดูหนังที่คุณมั่นใจว่ามันทำเพื่อฮาจริงๆ ครับ เพราะขืนซื้อตั๋วหย่อนตัวลงดูหนังแล้ว ท่านจะเลือกไม่ได้อีก นอกจากจะนั่งดูให้จบ (จะลุกออกมาก็กระไรครับ เงินก็เสียไปแล้วด้วย)
อ้ะ อ้ะ อ้ะ … นี่ผมเล่าประสบการณ์ทุกข์ทางกายให้ฟังก็แค่ระบายนิดหน่อย แต่ที่ผมเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหนังไม่ดีนะครับ ก็เพราะหนังมันดีนี่แหละ ผมเลยเป็นแบบนี้น่ะ
The Break-Up คือหนังที่ว่าด้วยแฟนหนุ่มสาวคู่หนึ่ง (Vince Vaughn กับ Jennifer Aniston) อยู่กินกัน แต่เกิดไปกันไม่รอด จนที่สุดก็ทะเลาะกันและตัดสินใจแยกทางกันเดิน ซึ่งก่อนจะแยกกันนั้นแต่ละรายก็ยังเข้าข่ายบ้านแตกสาแหรกยังไม่ขาดน่ะครับ แม้จะหาเรื่องกัน แต่ลึกๆ ในใจทั้งสองก็ยังมีเยื่อใย เฮ่อ แล้วจะไปกันรอดมั้ย
ท่านต้องเข้าใจอารมณ์ผมครับ ตอนแรกกะดูแค่หนังสบายๆ และดูจากแนวจากตัวอย่างมันก็น่าจะสบายๆ อ้ะ คงเอาฮาประมาณว่าคู่รักกัดกันแบบสนุกๆ แสบๆ คันๆ แต่เปล่าเลยครับ แม้เรื่องจะดำเนินอย่างเบาๆ และการทะเลาะกันดูจะไปในแนวกัดกันแบบนั้น แต่เนื้อหามันก็ไม่ใช่อะไรเบาๆ เลยนะครับ เพราะยังไง๊ๆ มันก็คือการเราไปนั่งดูคนทะเลาะกันนั่นเองน่ะแหละ
ความสบายๆ ของหนังดูจะมีแค่ช่วงต้นนิดหน่อยตอนที่แกรี่ (Vaughn) ตรงเข้าไปหว่านเสน่ห์ใส่บรู๊ค (Aniston) กลางสนามกีฬา ซึ่งเธอเองก็กำลังออกเดทนัดบอดกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วย ไอ้จุดนี้ก็นับว่าน่าสนล่ะครับ เพราะมันแสดงลักษณะของแกรี่เต็มๆ ว่าใจกล้าน่าด้าน มั่นใจในตัวเองสุดๆ จนบรู๊คก็อดสนใจไม่ได้ และในที่สุดก็ตกหลุมรักกัน แล้วก็อยู่ด้วยกันมาสองปี แล้วทีนี้นรกมันมาเริ่มแตกตอนนี้แหละครับ เรื่องเริ่มมาจาก แกรี่ไม่ยอมช่วยบรู๊คเตรียมโต๊ะรับแขกที่กำลังจะมาเยี่ยมบ้านเขา (ซึ่งก็คือพ่อแม่ของพวกเขาน่ะแหละ) และในที่สุด มะนาว เพียง 3 ลูกก็เป็นจุดเริ่มของจุดจบ … พวกเขาทะเลาะกันจนแตกหักและระหองระแหงกันนับแต่นั้นมา
ดังนั้นขอบอกนะครับ คนที่คิดว่าจะได้ดูหนังฮาๆ ทะเลาะกันแบบต๊องๆ ล่ะผิดเรื่องแล้วครับ ไม่ใช่เลย ซึ่งถ้าท่านอยากดูแนวบ้านแตกแล้วแก้เผ็ดกันฮาๆ ผมแนะนำให้ไปขุดหนังเก่าอย่าง The War of The Roses หรือ Love Stinks! มาดูดีกว่าครับ พวกนั้นฮาแบบตั้งใจ แต่กับเรื่องนี้ผมอยากจะใช้คำว่าหนังชีวิตมากกว่า เพราะแม้จะมีความฮาอยู่ แต่ก็แทรกมาแบบผิวๆ ครับ
สาเหตุหนึ่งที่ผมมึนกบาลหลังดูจบอาจเพราะมันสมจริงมากก็ได้มั้ง
ที่ว่าสมจริงคือหนังถ่ายทอดบรรยากาศการทะเลาะออกมาได้ดีครับ อันนี้ก็ต้องชมสองดารานำเลยล่ะที่ตีกันได้เนียนมาก (ไม่น่าแปลกใจที่สองคนนี้จะได้เป็นแฟนกันจริงๆ ขึ้นมาครับ) ทั้งหน้าตาท่าทาง การขุดเรื่องนี่มันใช่อ้ะ เวลาแฟนทะเลาะกันมันแบบนี้จริงๆ จะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก่อน แล้วก็ค่อยๆ ขุดเรื่องเมื่อเช้ามา จากนั้นก็ขุดเรื่องอดีตสมัยปลายรัชกาลที่ 5 ตามด้วยเรื่องสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พี่แกจะขุดๆๆๆ ขึ้นมาเอาชนะกันให้ได้ครับ และส่วนมากก็จะจบลงด้วยการแยกกันเดิน ไม่ก็ปิดห้องนอนดังปัง
พอดูอันนี้จบก็เข้าใจทันที นี่มันไม่เชิงหนังตลกแล้ว เพราะตอนทะเลาะนี่มันหัวเราะไม่ออกน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันเครียดนะ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ “นี่แหละ เวลาคนเป็นแฟนทะเลาะกันจริงๆ มันก็ประมาณนี้แหละ”
คนที่เครียดที่สุดคือคนที่ทะเลาะกันครับ แต่พวกเราถ้าไม่ได้ตีกับเขาก็จะแค่มองห่างๆ หรือไม่ก็วิ่งไปให้ไกลๆ แต่ถึงอย่างไรการไปนั่งดูคนตีกันตลอด 100 นาที มันก็ไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมย์นักหรอก แล้วยิ่งลองมาย้อนนึกถึงตอนเราเจอแบบนี้บ้าง มันก็ขำแบบทั้งน้ำตาล่ะครับ
เพียงแต่หนังเรื่องนี้ … มันไม่เชิงทำออกมาเสียดสีนะ คือมันสื่อภาพคนทะเลาะกันจัดๆ เลยอ้ะ ผมดูไปเลยอดคิดตามไม่ได้ (เลยทำให้มึนมั้ง)
ครับ ดูแล้วมันเลยไม่ถึงกับสนุก เพราะมันมีฮาแทรกเล็กน้อยเท่านั้น เป้าหมายหลักจริงๆ ของหนังคือการถ่ายทอดชีวิตคู่รักคู่หนึ่งที่ทนพฤติกรรมอันสุดเอือมของอีกฝ่ายมานาน จนในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องระเบิดอย่างที่เห็นในเรื่อง
ดูไม่สนุก แต่ดีมั้ย ผมว่าดีแฮะ
ดีอย่างแรกคือมันถึง ทำให้เราเห็นภาพคนทะเลาะกันแบบใกล้เคียงของจริงมากครับ คือเราจะไม่มีความสุขกับภาพที่เห็นเท่าไหร่ เพราะทุกขั้นตอนทุกเรื่องราวที่ดำเนินไปในหนังก็คือ เรากำลังเห็นขั้นตอนการเลิกกันของชายหญิงคู่หนึ่ง ใครจะสนุกผมก็ไม่ทราบล่ะครับ แต่ผมไม่ใคร่จะสนุกกับเรื่องแบบนี้หรอกครับ อันนี้เลยต้องชมว่าหนังทำได้ถึง ไม่งั้นผมคงไม่มึนหรอก
ดีต่อมาคือ มันสมจริง การตีกันนี่ใช่ครับ เชื่อมั้ยครับ ส่วนมากเวลาทะเลาะกันมันเริ่มจะอะไรเล็กๆ อย่าง ซื้อของมาไม่ถูกใจ เป็นอะไรหยั่งงี้ทั้งนั้น
อย่างในเรื่อง เรื่องเกิดเพราะแกรี่ซื้อมะนาวแค่ 3 ลูกแทนที่จะเป็น 12 ลูกซึ่งบรู๊คก็เลยบ่นว่าทำไมไม่ซื้อมา 12 ล่ะ พระเอกก็อ้างข้างๆ คูๆ ไป … ด้วยเหตุผลของตนเอง
ต่อมานางเอกเลยพยายามเปลี่ยนเป็นขอแรงแกรี่ให้ช่วยจัดโต๊ะที แกรี่ก็บอกว่าเหนื่อย … เหตุผลของตัวเอง
นี่แหละครับรากเหง้าของปัญหาชีวิตคู่ … ก็เล่นเอาเหตุผลของตัวเอง มาคุยกันอ้ะ
ส่วนมากเรามักลืมไป ว่าหากเราอยู่กับแฟน มันแปลว่าชีวิตเราไม่ได้มีแต่เราลำพังแล้วนะครับ มันคือ ชีวิตคู่อ้ะ บางทีเราก็มัวแต่คำนึงถึงตัวเองจนเกินไป จนลืมนึกถึงคนอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เรา และเรามักอ้างมักปิดปากเธอด้วย “เหตุผลส่วนตัวของเรา” และเรามักคิดว่ามันถูกที่สุด จนไปๆ มาๆ ก็เถียงกัน แล้วก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันทุกที
ผมก็ไม่เถียงครับว่าเหตุผลของบางคนมันอาจจะถูกจริงๆ แต่ส่วนใหญ่เรามักจะลืมจุดนี้ข้ามช็อตไปเถียงด้วยอารมณ์ทุกทีไป ซึ่งนั่นแหละ ถ้าท่านปล่อยให้อารมณ์อยากเอาชนะครอบงำล่ะ ท่านก็ถลำลึกแล้วล่ะ
ถ้าทะเลาะกับแฟน แล้วโต้แย้งเพื่อให้แฟนเข้าใจ ก็โอเค
แต่ถ้าทะเลาะกับแฟน แล้วโต้แย้ง เพื่อให้เราชนะ … อันนี้ไม่โอเคแล้วนะครับ
และในเรื่องก็เป็นงี้เลยครับ ตอนแรกเหมือนจะคุยกัน ซักพักเริ่มหนักขึ้น แกรี่เริ่มชักแม่น้ำทั้งห้า จนบรู๊คเองจากที่พยายามพูดดีๆ ก็เลยเริ่มเอาอารมณ์มาลง ขุดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีก ทีนี้เริ่มไปกันใหญ่แล้วครับ
และจากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มพฤติกรรมแบบเด็กๆ อยากเอาชนะ อยากให้อีกฝ่ายมางอนง้อ ไม่ยอมง่ายๆ ไม่ยอมคุยกันดีๆ ไม่หันหน้าเข้ามากัน สุดท้ายก็ เฮ่อ เกินเยียวยา
ถ้าถามว่าดูแล้วได้อะไรเก็บไปคิดมั้ย คำตอบคือได้ครับ ได้เต็มๆ เลยว่า “ใจเย็น” เวลาจะทะเลาะกะแฟนหรือกะใครก็ตามต้องใจเย็นครับ ถ้าร้อนเมื่อไหร่ล่ะไปไม่รู้กู่ไม่กลับกันพอดี
และนั่นก็คือจุดที่ผมว่าหนังเรื่องนี้ทำได้ดีก็คือ มันทำให้คิดครับ ให้เราตระหนักได้ว่าก่อนเราจะเอ่ยปากด้วยอารมณ์กับใครก็ควรคิดถึงผลที่จะตามมา หรือก่อนที่เราจะเห็นแก่ตัว บางทีก็ควรนึกถึงแฟนบ้างเหมือนกัน
เช่น บางทีเราเหนื่อย ใช่ครับ เราเหนื่อยมา อยากพัก แต่ถ้าแฟนขอให้เราทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เธอได้ก็ทำไป ไม่เห็นเป็นไร
ผมเข้าใจนะ กับประโยคเด็ดที่คุณผู้ชายพูดว่า “ผมทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน เพื่อหาเงินให้คุณ เพื่อคุณสุขสบาย แล้วคุณจะเอาอะไรกับผมอีกนักหนาขอพักไม่ได้เหรอ” ผมเข้าใจครับ
แต่พี่เข้าใจหรือเปล่าว่าความสุขของแฟนเรา บางอันเงินก็ซื้อไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ให้พี่ช่วยเก็บโต๊ะเก็บจานเนี่ย
ผมไม่เถียงว่าเงินซื้อความสุขทางวัตถุให้แฟนเราได้ … แต่ถามจริง คนเราต้องการความสุขจากวัตถุเท่านั้นเหรอครับ?
ถ้าเป็นงั้นจริงไม่ต้องมีแฟนก็ได้ แค่ทำงานๆๆ หาเงินๆๆๆ ก็พอ เพราะมีเงินเยอะ ของเยอะ สุขแล้วนี่
แต่ก็ไม่ใช่ มันต้องเข้าใจครับว่าการที่มนุษย์เราต้องการมีใครซักคนก็เพื่อเติมในสิ่งที่ขาดหายไป ไม่ใช่แค่เรื่องทางเพศเท่านั้น มันมีเรื่องความเข้าใจอีกอ้ะ เรื่องความอบอุ่นอะไรเทือกนั้น
คนรวยบางรายมีเงินมากมาย ซื้อของให้เมียทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอชอบอะไร เธอขอร้องให้คุณฟังเธอ แต่คนรวยนั่นกลับไม่ใส่ใจ เพราะเขาไม่มีเวลา กับคนจนๆ คนหนึ่งที่เก็บเงินซื้อของที่คนรักชอบสุดๆ แล้วก็ถามทุกเย็นว่าแฟนเขามีอะไรให้ช่วยมั้ย … คุณว่าผู้หญิงคนไหนจะแฮ้ปปี้จริงๆ มากกว่ากัน?
ดังนั้น ถ้าแฟนเราขอให้ทำอะไรให้เธอหน่อย และเราพอจะทำได้ ก็ทำไป มันจะตายมั้ยล่ะครับ
… ช่วงนี้ผมหัวรุนแรงจัง
ครับ ประเด็นในหนังก็สุดแท้แต่ใครจะเก็บไปคิดเน้อะ โดยคร่าวๆ ผมว่าการไม่ทะเลาะกันได้ก็จะดีนะ ถ้าเย็นหน่อยอะไรหน่อย เอาล่ะมาเรื่องหนังครับ
Vaughn กับ Aniston ทำหน้าที่ได้ดีครับ (ก็เป็นแฟนกันนี่หว่า) ไปกันได้ดี ตอนทะเลาะนี่หูย ผมยังอึ้งอ้ะ อารมณ์มามาแหลกจริงๆ และจุดที่เข้าท่าอย่างคือหนังมีการสื่อกับเราอยู่บ่อยๆ ว่าสองคนนี้ต่างกันครับ เอาแค่ฉากครอบครัวของทั้งสองมานั่งประจัญหน้ากันนั่นก็เห็นชัดๆ แล้วล่ะ เราเลยค่อนข้างเชื่อว่าสองคนนี้ไม่น่าจะไปกันได้จริงๆ แต่นั่นก็ออกจะเป็นจุดอ่อนหนังนิดหนึ่งตรงที่ คนดูแทบจะไม่เหลือลุ้นให้สองคนนี้กลับมารักกันน่ะครับ เพราะมันดันไม่สมกันจริงๆ แกรี่ก็อย่างหนึ่ง บรู๊คก็อย่างหนึ่ง แต่สมชื่อ Break-Up เพราะดูแล้วเชียร์ให้เลิกมากกว่าเชียร์ให้อยู่ ก็ในเมื่อมันไปกันไม่ได้อ้ะ
ส่วนดาราสมทบก็กำลังดีครับ รายที่เด่นจริงๆ ก็คือ John Michael Higgins กับบทริชาร์ด เมเยอร์ส พี่ชายออกแนวแต๋วๆ ของบรู๊ค พี่แกบ้าได้ฮาดีครับ แต่ก็โผล่แค่ช่วงต้น
แล้วก็พี่ Jon Favreau จอห์นนี่ โอ เพื่อนซี้บาร์เทนเดอร์ของแกรี่ ที่ฮาได้ทุกฉากครับ ฮาหน้าตายด้วย ยิ่งไอ้ตอนท้ายที่พี่แกเสนอให้แกรี่หาคนไปอัดคนที่มาเกาะแกะกับบรู๊คที่สุดยอด ฮาที่สุดในเรื่องแล้วครับ
แต่ที่ผมว่าเด็ด แต่บทจ่ายมาน้อยอยู่ ก็คือบทเจ๊มาริลิน ดีน (Judy Davis) เจ้าของแกเลอรี่ที่บรู๊คไปทำ กับ คริสโตเฟอร์ (Justin Long) เพื่อนแต๋วที่ทำงานในแกลอรี่นั้น สองรายนี้ก็ฮาดีครับ ยิ่งเจ๊แกมาริลีนนี่เจ๋งอ้ะ ไปๆ มาๆ หนังก็เข้าสูตรหนังโรแมนติกอยู่เหมือนกัน ตรงที่ความฮาจะไปตกอยู่กับดาราประกอบมากกว่า
ในความจริงแล้ว ผมก็อยากให้หนังมันเบากว่านี้นะ คือให้มันพอดีๆ ผ่อนคลายปเนช่วงๆ แต่นี่เหมือนกับจะตึงไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีความหวังเท่าไหร่สำหรับพระนางในเรื่อง ดูแล้วสองคนยังไงก็ไม่น่ากลับมาได้ มันเลยออกจะหดหู่ในความคิดผมนะ
แต่ตอนจบ ผมว่าออกมาดีครับ นับว่าเหมาะสมและไม่เป็น Hollywood เท่าไหร่ ซึ่งผมว่าดี จบแบบที่ควรจะเป็น ได้อารมณ์ดี
หนังกำกับโดย Peyton Reed แห่ง Bring IT On ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าแกจงใจให้หนังฮาน้อยรึไงกันแน่ หรือจะทำหนังชีวิตแล้วตะแล่ดแป้ดมาเป็นหนังออกจะหนักๆ แต่ออกมา หนังอาจยังไม่กลมกล่อมซะทีเดียวครับ จังหวะมันไม่ค่อย Smooth เต็มที่ อาจจะกั๊กๆ อยู่ คือถ้าเล่นหนังแบบแรงๆ ไปเลยมันก็จะเป็นชีวิตซึ่งมันคงจะเข้มกว่านี้ หรือถ้าเบากว่านี้มันก็จะฮาสบายๆ แต่นี่เหมือนมันกั๊กๆ อ้ะครับ ฮาไม่เต็มที่ ชีวิตก็ยังไม่เต็มเหนี่ยว แต่ก็อย่างที่บอกครับ ออกมาค่อนข้างใกล้กับชีวิตจริง เพราะมันไม่ไปในทางใดซักทางหนึ่งมากเกินไป ซึ่งก็ดีในแง่อารมณ์ครับ มันสมจริง แต่ถ้าในแง่หนังก็ต้องบอกว่าพร่องน่ะ
แต่ผมว่าหนังเรื่องนี้ คุ้มที่จะดูครับ เหมือนดูแฟนทะเลาะกัน แล้วท่านก็ถือโอกาสดูเลยว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นแค่ไหน
ดูแล้วย้อนดูตัว ไม่จำเป็นอย่าทะเลาะกับแฟนดีกว่าครับ (นี่ผมพูดถึงกับทั้งหญิงและชายเลยนะ)
แต่อย่าลืมครับ อย่าคาดหวังว่าเป็นหนังฮา คิดว่าเป็นหนังของชีวิตคู่ที่กำลังจะจบลง ดีกว่า ท่านจะได้ไม่อ้าปากรอขำเก้อแบบผม