ค้นหาหนัง

The Dig | กู้ซาก

The Dig | กู้ซาก
เรื่องย่อ : The Dig | กู้ซาก

ในปี ค.ศ. 1938 อีดิธ เมย์ พริตตี้ เจ้าของสถานที่และไร่นาบนเนินที่ซัตตันฮู ชนบทในอังกฤษ เธอได้ว่าจ้างนักขุดค้นคือ บาซิล บราวน์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถในงานขุดค้นทางโบราณคดีและยังเป็นผู้ที่ศึกษาศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วยตนเอง บาซิลยอมมารับงานขุดค้นที่เนินของซัตตันฮู ซึ่งอีดิธก็คิดว่าที่เนินแห่งนั้นจะมีซากของโบราณหรือหลุมศพของคนโบราณซ่อนอยู่ แต่กลายเป็นว่างานขุดค้นครั้งนี้กลับนำไปสู่การค้นพบซากเรือโบราณ ที่กลายเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกโบราณคดีตลอดกาล

IMDB : tt3661210

คะแนน : 7



The Dig Netflix รีวิว กู้ซาก หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของทีมนักขุดและนักโบราณคดีที่ร่วมงานขุดค้นพบซากเรือจากยุค แองโกล-แซกซัน ของอังกฤษ ในการขุดค้นพบที่ ซัตตันฮู ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกโบราณคดีอังกฤษและของโลกเลยทีเดียว

หนังดัดแปลงจากหนังสือของ จอห์น เพรสตัน และชีวประวัติบางส่วนของบุคคลสำคัญที่มีตัวตนอยู่จริงในวงการโบราณคดีของอังกฤษคือ บาซิล บราวน์ และ มากาเร็ต กุยโด (เพ็กกี้ พิกก็อต) และเรื่องราวของ อีดิธ พริตตี้ เจ้าของสถานที่ซึ่งถูกค้นพบซากเรือสำคัญดังกล่าว

ซีรีส์ดัดแปลงจากหนังสือของ จอห์น เพรสตัน โดยนำเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ในการขุดค้นพบทางโบราณคดีของอังกฤษและของโลกมาบอกเล่าได้อย่างลึกซึ้งและละเมียดละไมอย่างมาก ไดอาล็อคหรือบทพูดของตัวละครในเรื่องได้ผ่านการกลั่นกรองและแฝงนัยยะลึกซึ้ง ผนวกกับการแสดงชั้นยอดของทีมนักแสดงในเรื่อง การเดินเรื่องที่แม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็มีชั้นเชิงและน่าติดตาม ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมของ Netflix ที่แนะนำให้รับชมเลยครับ

ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้กำกับ Simon Stone ว่านี่คือภาพยนตร์แนวดราม่า กึ่งชีวประวัติและอิงประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ที่บอกเล่าเรื่องราวการขุดค้นพบครั้งสำคัญทางโบราณคดี ที่นำเสนออกมาได้อย่างละเมียดละไมและเต็มไปด้วยไดอาล็อคที่ลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าการตีความ รวมถึงการนำเสนอกระบวนการขุดค้นทางโบราณคดีในโลกความจริง และปัญหาภายในวงการที่คนนอกก็อาจไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หนังก็ทำออกมาให้ดูง่าย

โปรดักชั่นของหนัง จัดว่าอยู่ในระดับที่สร้างออกมาได้ดีมาก ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้ว ฉากเกือบทั้งหมดในเรื่องมากกว่า 90% วนเวียนอยู่ในสถานที่แค่ 2-3 แห่งเท่านั้น แต่การเล่าเรื่องกลับทำให้มันสนุกและน่าติดตามได้อย่างเหลือเชื่อเลย