ค้นหาหนัง

The Godfather: Part II | เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2

The Godfather: Part II | เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2
เรื่องย่อ : The Godfather: Part II | เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2

การดำเนินเรื่องต่อจากภาคแรก เป็นยุคของเจ้าพ่อรุ่นสอง คือรุ่นคอร์เลโอเนผู้ลูก (Al Pacino) ผู้ซึ่งแม้จะเดินตามรอยบิดา แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ดูเหมือนว่า ถ้าหากชีวิตของวีโต คอร์เลโอเน ผู้พ่อจะเป็น “ขาขึ้น” ของอาณาจักรเจ้าพ่อ ชีวิตของไมเกิล คอร์เลโอเนดูจะเป็น “ขาลง” ถ้าชีวิตของพ่อเปรียบได้กับยามเช้า ชีวิตของลูกก็คือยามบ่าย

IMDB : tt0071562

คะแนน : 10



The Godfather ภาคสอง สร้างเมื่อปี 1974 สองปีหลังภาคแรก เป็นภาคที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าดีกว่าภาคแรกเสียอีก และได้รับรางวัลมากกว่า ได้ออสการ์ถึง 6 ตัว ถ้าหากภาคแรก “สมบูรณ์แบบ” ภาคสองน่าจะ “สุดยอดเหนือคำบรรยาย”

The Godfather ภาคสอง คือการดำเนินเรื่องต่อจากภาคแรก เป็นยุคของเจ้าพ่อรุ่นสอง คือรุ่นคอร์เลโอเนผู้ลูก (Al Pacino) ผู้ซึ่งแม้จะเดินตามรอยบิดา แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทำให้ดูเหมือนว่า ถ้าหากชีวิตของวีโต คอร์เลโอเน ผู้พ่อจะเป็น “ขาขึ้น” ของอาณาจักรเจ้าพ่อ ชีวิตของไมเกิล คอร์เลโอเนดูจะเป็น “ขาลง” ถ้าชีวิตของพ่อเปรียบได้กับยามเช้า ชีวิตของลูกก็คือยามบ่าย

หัวข้อใหญ่ของหนังยังคงเป็นเรื่องการวางแผนซ้อนแผน ด้วยร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม การหักหลัง การแก้แค้น การดำเนินการใต้ดินผิดกฎหมาย การคอรัปชั่น ครั้งนี้มีการนำเอาตัวแทนอำนาจรัฐมาเกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อชี้ให้เห็นว่า อำนาจนั้นไม่ปรานีใคร มันทำลายได้ทุกคนและทุกอย่าง

เจ้าพ่อภาคสองได้ฉายภาพชีวิตพ่อและลูกคู่ขนานกันไป ให้เห็น ดอน วีโต คอร์เลโอเน (แสดงโดย Robert DeNiro) ตั้งแต่วัยเด็กที่ซิซิลีจนเติบโตไปสู่การเป็นเจ้าพ่อ จากครอบครัวที่พ่อแม่และพี่ถูกมาเฟียฆ่า และตัวเองต้องหนีเอาชีวิตรอดข้ามน้ำข้ามทะเลไปอเมริกาคนเดียวตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ทำให้เขาแข็งแกร่งและกลายเป็น “ผู้กว้างขวาง” ที่เต็มไปด้วย “บารมี” ในท้ายที่สุด

เจ้าพ่อภาคสองเป็นการเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดมาก ร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกัน แม้จะตัดไปตัดมาจนน่าเวียนหัวสำหรับคนที่ชอบดูหนังแบบสบายๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงสุดยอดฝีมือการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูหนังยาวสามชั่วโมงเกือบครึ่งแทบจะลืมเวลาไปเลย

เจ้าพ่อภาคสองเริ่มต้นคล้ายกับภาคแรก เป็นการรวมครอบครัวและแขกเหรื่อเพื่อฉลองการรับศีลครั้งแรก (First Holy Communion) ของลูกชายของไมเกิล ซึ่งย้ายครอบครัวไปอยู่ที่รัฐเนวาดา ไปทำ “ธุรกิจ” ที่ลาสเวกัส และเริ่มหาทางขยาย “กิจการ” ต่างๆ แขกสำคัญคนหนึ่งที่มาในงานเป็นวุฒิสมาชิกของเนวาดาและภริยา เขารับเช็คของขวัญจากแอนโทนี ลูกชายของไมเกิลและประกาศเกียรติคุณครอบครัวนี้ โดยวางมาดนักการเมืองเหมือนจะข่มและแข่งกับอำนาจเจ้าพ่อมาเฟีย
เจ้าพ่อไมเกิลคงอดกลั้นสุดขีด ตัวเองถูกด่ายังไม่เท่าไร แต่มาด่า “ครอบครัว” นี่มันมากเกินไป ปฏิกิริยาของไมเกิลคือ “ไม่ให้อะไรเลย” (My offer is – nothing) และหลังจากนี้ไม่นาน เราก็เห็นภาพที่เจ้าพ่อมีข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ให้วุฒิสมาชิกผู้นี้ที่ถูกแบล็กเมล์ ถูกจัดฉากให้กลายเป็นฆาตรกรฆ่าโสเภณีในโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ทอมและบริวารของเจ้าพ่อไมเกิลตามไปช่วยเหลือบอกว่า ไม่เป็นไร จะจัดการให้ทั้งหมด สบายใจได้

นั่นคือการสยบอำนาจของผู้มีอิทธิพลทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่งพยานหลักฐานทั้งหมดคงถูกเก็บเอาไว้ รอเวลาเอาออกมาใช้เมื่อจำเป็น ด้วยเหตุนี้ เมื่อไมเกิล คอร์เลโอเนถูกเรียกไปสอบจากกรรมาธิการวุฒิสภา คนที่ออกมาปกป้องเขาสุดลิ่มทิ่มประตูคือวุฒิสมาชิกผู้นี้

ส่วนลูกน้องเก่าคนสำคัญของพ่อชื่อ Frankie Pentangeli ซึ่งหักหลัง ได้ถูกเอฟบีไอควบคุมไว้ในค่ายทหาร กันไว้เป็นพยานสำคัญเพื่อเอาผิดเจ้าพ่อไมเกิล เป็นฉากการชิงไหวพริบและเล่ห์เหลี่ยมของสองอำนาจ ฝ่ายเจ้าพ่อก็ไปนำเอาพี่ชายของเพนตันเจลีมาจากซิซิลี พี่ชายคนนี้คือคนที่เลี้ยงดูลูกนอกสมรสของเขาหลายคน เพียงการปรากฏตัวของชายผู้นี้เพนตันเจลีก็กลับคำให้การทั้งหมด กลัวว่าลูกของตนเองจะได้รับอันตราย

เรื่องราวสำคัญคือการขยายอาณาจักรทั้งในสหรัฐฯและในคิวบาช่วงก่อนการปฏิวัติ โดยไมเคิลกับหุ้นส่วนสำคัญคนหนึ่งของครอบครัวตั้งแต่ยุคพ่อ คือชาวยิวที่ชื่อ Hyman Roth (Lee Strasberg) ผู้ซึ่งไมเคิลได้รับการเตือนจากลูกน้องคนหนึ่งของพ่อว่า “พ่อของคุณทำธุรกิจกับไฮมัน รอธ พ่อของคุณนับถือไฮมัน รอธ แต่พ่อของคุณไม่เคยไว้ใจไฮมัน รอธ”

เป็นคำเตือนที่ไมเคิลเองก็ได้ยินจากปากพ่อเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่เขากำลังเรียนรู้และรับช่วงอำนาจต่อจากพ่อที่พร่ำสอนว่า “อย่าไว้ใจคน” “จงรักษาเพื่อนไว้ให้ใกล้ตัวเจ้า แต่เอาศัตรูไว้ใกล้กว่าอีก” (Keep your friends close, but your enemies closer.)

ความพยายามลอบสังหารไมเกิลและครอบครัวถึงในห้องนอนที่บ้านของเขาเองเป็นการเตือนให้รู้ว่า ศัตรูของเขาร้ายกาจเพียงใด เขารู้ว่าเขาถูกหักหลังจาก “คนใน” ครอบครัวนั่นเอง หนังค่อยๆ ฉายให้เห็นแผนการต่อสู้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมหลากหลายรูปแบบ มีแต่ประเภทปากปราศรัยแต่ใจเชือดคอ ไว้ใจใครไม่ได้เลย แม้แต่การประชุมเพื่อการลงทุนที่กรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบาก็คือการประลองกำลังระหว่างไฮมัน รอธ กับไมเกิล ซึ่งแรกๆ ก็ว่าจะไปลงทุน แต่กบฏยึดประเทศสำเร็จ ฟิเดล คัสโตร ขึ้นสู่อำนาจ พวกอเมริกันต้องหนีตายกลับประเทศกันทั้งหมด กลับมาสู่กันต่อที่สหรัฐO

เหตุการณ์ต่างๆ ทีเกิดขึ้นทำให้ไมเกิลสรุปได้ว่า คนที่หักหลังเขาคือเฟรโด พี่ชายของเขานั่นเอง
เฟรโด (John Cazale) ระเบิดความอัดอั้นตันใจออกมาว่า เขาตกเป็นเบี้ยล่างของทุกคนมาโดยตลอด ไม่มีใครเคารพนับถือเขา มีแต่คนหาว่าเขาโง่ อ่อนแอ แต่เขารู้ว่าเขาฉลาดพอ เพียงแต่ไม่เคยได้รับโอกาสที่จะแสดงความสามารถเท่านั้น แม้แต่แม่ยังเคยพูดเล่นๆ ว่า มีคนมาทิ้งเขาไว้ข้างถนน แม่เลยเก็บมาเลี้ยง เขาทนไม่ได้ที่จะต้องรับคำสั่งจากน้องชาย ที่ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนงี่เง่า
ไมเคิลถามพี่ชายในห้องที่สำนักของเขาจนได้คำตอบสำคัญว่าใครเป็นอะไรเบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ แล้วเขาก็ประกาศตัดญาติกับเฟรโด จะไม่ขอพูดหรือเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป แต่เขาก็บอกบริวารคนสนิทตอนเดินออกมาว่า อย่าทำอะไรพี่ชายคนนี้ตราบใดที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อแม่เสียชีวิต เฟรโดก็ถูกสังหาร

เคย์ ภรรยาของไมเคิลอยู่ในสภาพเครียดจัด ชีวิตมีแต่ความกดดัน เธอเคยหวังว่า ห้าปีครอบครัวคอร์เลโอเนจะทำอะไรๆ “ถูกต้องตามกฎหมาย” อย่างที่ไมเกิลสัญญากับเธอ แต่นี่เข้าปีที่ 7 แล้ว ยังไม่มีวี่แววเลย และดูเหมือนว่าปัญหาจะหนักยิ่งขึ้น สุดท้ายเธอก็ “แก้แค้น” สามีซึ่งไม่เคยให้เวลากับลูกเมียเหมือนที่คุณพ่อวีโตเคยสอนไว้ เธอทำแท้งลูกโดยเจตนา ซึ่งตอนแรกไมเกิลเชื่อว่าเป็นการแท้งโดยธรรมชาติ

นั่นคือจุดแตกหักของครอบครัวของเจ้าพ่อไมเคิล คอร์เลโอเน ซึ่งก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งอำนาจ และถูกอำนาจนั่นเองทำลาย อำนาจ กิเลสและตัณหานำพาชีวิตให้ล่มสลาย นี่คือพยาธิวิทยาว่าด้วยอำนาจ ไม่ว่าใต้ดินหรือบนดิน ไม่ว่านอกกฎหมายหรือในกฎหมายก็หนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้

สุดท้าย แม้ว่าไมเคิลจะสามารถกำจัดศัตรูสำคัญทั้งหลายได้ แต่มันเป็นความสำเร็จที่ราคาแพงยิ่งนัก แพงเกินไป เพราะเขาไม่สามารถรักษาครอบครัว อันเป็นหัวใจของความเป็นคอร์เลโอเน มรดกอันสำคัญที่สุดที่พ่อได้มอบให้

เจ้าพ่อภาคสองไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยอาชญากรรมที่มีการจัดตั้ง ไม่ใช่เรื่องราวของโคตรอาชญากร แต่เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยราคาอันแพงลิ่วที่ต้องจ่ายเพื่อได้อำนาจและผลประโยชน์มหาศาล ราคาที่ว่านั่นคือการสูญเสียฐานชีวิตและจิตวิญญาณของตนเอง สูญเสียครอบครัว ลูกเมีย พี่น้อง

ภาพสุดท้ายของหนังเรื่องนี้จึงมีแต่ไมเคิลนั่งอยู่คนเดียว ครวญคิดคำนึง คิดถึงภาพเก่าๆ ในอดีตเหมือนกับจะถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เขามีทุกอย่าง ไม่ว่าอำนาจวาสนาทรัพย์สินเงินทอง แต่ต้องเสียพี่น้อง ลูกเมีย เสียครอบครัวไป มันคุ้มกันหรือ

วันหนึ่งไมเคิลถามแม่ว่า “เมื่อพ่อมีปัญหา พ่อเคยคิดไหมว่า บางทีถ้าพยายามเป็นคนเข้มแข็ง และพยายามปกป้องครอบครัว กลายเป็นว่าเขาอาจเสียครอบครัวไป” แม่ตอบว่า ไม่มีวันที่เราจะสูญเสียครอบครัวของเราได้ แต่ไมเคิลก็รู้ดีว่า วันเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว ที่สุดเขาก็เหลือเพียงลูกและน้องสาวของเขาเท่านั้นที่ยังอยู่กับเขาหรือทนอยู่กับเขาได้

เขาเพิ่งซาบซึ้งคำสอนของพ่อที่ว่า “คนไม่มีเวลาให้ครอบครัวไม่ใช่คนที่แท้จริง” และเรียนรู้ด้วยตนเองว่า อำนาจไม่ได้ดึงดูดคนให้เข้าหาเท่านั้น แต่ไล่ผู้คนให้หนีห่าง อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย