ค้นหาหนัง

The Last Face

The Last Face
เรื่องย่อ : The Last Face

ท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุและเหตุการณ์ไม่สงบในแอฟริกาใต้ ผู้อำนวยการหน่วยงานการช่วยเหลือนานาชาติในแอฟริกาใต้ เร็น ปีเตอร์เซ่น เดินทางสู่ภารกิจช่วยเหลือในไลบีเรีย และได้พบกับแพทย์ผู้ให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ มิเกล แพทย์ทรงสเน่ห์ผู้อุทิศตนให้กับการช่วยเหลือผู้คนในพื้น ที่อันตรายที่สุดในทวีปแอฟริกา แม้มิเกลจะเป็นคนดื้อดึง ทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ แต่เร็นกลับถูกดึงดูดเข้าหาเสน่ห์และความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือคนที่ชายคนนี้มี เมื่อพวกเขาไม่สามารถหักห้ามใจได้อีกต่อไป จึงตกหลุมรักกันเข้าอย่างจัง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขา ต้องฝ่าฟันทั้งอันตราย และความไม่แน่นอนมากมายท่ามกลางโลกอันโหดร้าย อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะรัก และมองเห็นความสำคัญของชีวิตเหมือนกัน แต่กลับมีความเห็นไม่ตรงกันอย่างสุดขั้วในเรื่องการแก้ปัญหาความขัดแย้งในแอฟริกา เกิดเป็นช่องว่างระหว่างเร็นและมิเกลขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเร็นได้ค้นพบอดีตบางอย่างของมิเกล เธอจึงเริ่มสงสัยในความรักที่เขามีต่อเธอ!!!

IMDB : tt3286560

คะแนน : 3



ว่าตามจริงคือหนังมีของดีหลายอย่าง เริ่มจากดาราระดับฝีมือ ทั้ง Theron และ Bardem ต่างก็มีพลังในตนเองครับ แต่ด้วยความที่ทิศทางคาแรคเตอร์ของพวกเขายังไม่ชัด อีกทั้งการเล่าเรื่องมันไม่ส่ง ก็เลยทำให้พลังของพวกเขาไม่ค่อยได้เปล่งรัศมีสักเท่าไร

การเดินเรื่องออกแนวเรื่อยๆ ครับ แม้จะมีประเด็นมากมายในหนัง แต่การเล่ามันไม่ได้โฟกัสให้เกิดพลังขึ้นมา เหมือนการเล่าในแต่ละฉากมันทำให้เรารับรู้สถานการณ์และความรู้สึกของตัวละคร แต่การเชื่อมเรื่องมันไม่เป็นเนื้อเดียวกันจนหนังไม่สามารถบิ้วให้เราอินได้

หากจะดูหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องตั้งใจดูครับ เพราะถ้าดูแบบผ่านๆ หรือเปิดดูเป็นเพื่อนก็มีสิทธิ์สูงมากที่จะรู้สึกไม่โอเคกับหนัง เพราะอย่างที่บอกว่าการเล่าและการเชื่อมเรื่องมันไม่เชิงต่อเนื่อง เหมือนเอาฉากมาต่อฉาก (แต่ไม่ต่ออารมณ์)

ผมต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ว่าหนังไม่ดี การแสดงไม่ดี หรืออารมณ์ในแต่ละฉากไม่ดีนะครับ จริงๆ มันก็โอเคอยู่น่ะ เพียงแต่การเชื่อมเรื่องเชื่อมฉากมันดูไม่กลมกล่อม ทิศทางและอารมณ์มันเลยดูสะเปะสะปะน่ะครับ

แต่ประเด็นในหนังน่ะน่าสนใจเลย มันก็สะท้อนสังคมและการเมืองตามสไตล์ของหนังที่ Penn ชอบจับมาทำน่ะครับ อย่างเรนเองก็สับสนว่าเธอทำหน้าที่เพื่อช่วยคนในแอฟริกา แต่การที่เธอเอาแต่นั่งในห้องแอร์แล้ววางโครงการ วางนโยบายมันทำให้เธอไม่สบายใจ เพราะมันเหมือนกับว่าเธอไม่ได้เห็นปัญหาและไม่ได้สัมผัสปัญหาอย่างแท้จริง ได้แต่เต้าเอาเป็นหลัก

มันก็ชวนให้คิดน่ะครับ เพราะหลายครั้งที่นโยบายหรือโครงการจากองค์กรต่างๆ ที่คิดกันในห้องประชุมมันก็เอาไปปฏิบัติจริงในภาคสนามไม่ได้ สุดท้ายก็เหมือนเป็นการผลาญงบไปกับอะไรที่ไม่ตรงจุด ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดขึ้นมาหรอก

และใช่ว่าคนในบางองค์กรเขาจะไม่รู้นะครับ แต่เขามองว่า “ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร” ก็ช่วยไปก่อนไม่ว่าจะตอบหรือไม่ตอบโจทย์ ก็ช่วยๆ ตามแผนไปก่อน อย่างน้อยมันก็ดูเป็นผลงาน ดูว่าองค์กรได้ทำอะไรลงไปบ้าง และอีกอย่างคือหลายนโยบายวางเป้าง่าย ก็เพื่อให้มี “ผลงาน” ปรากฏอยู่สม่ำเสมอ หากมองในเชิงการเมืองในองค์กรแล้ว มันย่อมดีกว่าวางนโยบายหรือโครงการที่ดีจริงในระยะยาว แต่กว่าจะเห็นผลตั้งหลายสิบปี… แบบนี้ผลงานไม่เกิด บารมีไม่มา คะแนนเสียงไม่เท…

ก็สรุปน่ะนะครับ จริงๆ หนังมีประเด็นวิพากษ์องค์กรช่วยเหลือมนุษยชน และบทบาทของผู้บริหารองค์กรอยู่ไม่น้อย แล้วก็แทรกด้วยเรื่องโรแมนติก ซึ่งก็ถือว่ามีสาระนั่นแหละ แต่การนำเสนอร้อยเรียงมันไม่ลงตัวนัก เลยทำให้หนังดูไม่เพลินเท่าที่ควร แต่โดยส่วนตัวผมมองว่าหนังมีดีครับ เพียงแต่การนำเสนอมันไม่ขายและไม่ลงล็อคเท่านั้นเอง