ค้นหาหนัง

The Legend of the Swordsman | เดชคัมภีร์เทวดา 2

The Legend of the Swordsman | เดชคัมภีร์เทวดา 2
เรื่องย่อ : The Legend of the Swordsman | เดชคัมภีร์เทวดา 2

ตงฟางฟุ๊ป้ายได้คัมภีร์เทวดาไป ซึ่งการจะฝึกวิทยายุทธขั้นสูงสุดเขาจะต้องตัดองคชาติ ตัวเองทิ้งทำให้รูปลักษณ์เริ่มกลายเป็นผู้หญิง แต่ความโหดร้ายยังคงเดิม โดยเขาร่วมมือกับพวกกบฏญี่ปุ่นทำการปล้นสะดมอาวุธ เพื่อล้มล้างจักรพรรดิ์ ขณะที่เล่งหูชงและเหล่าศิษย์รุ่นน้อง ต้องการเดินทางไปเขาปูซานเพื่อถอนตัวจากยุทธภพแต่พวก เขากลับต้องเข้ามาพัวพันกับความรักและความแค้นการชิง ดีชิงเด่นระหว่างตงฟางปุ๊ป้าย และเจ้าสำนักวูพ่อของอิ๋งอิ๋งจนทำให้มิอาจใช้ชีวิตอย่างสุขสงบตามที่หวัง

IMDB : tt0103295

คะแนน : 10



Swordsman II หนังปี 1993 ผลงานการสร้างของฉีเคอะอีกเรื่อง ยอดผู้อำนวยการสร้างต่อยอดความสำเร็จจากหนังภาคแรก ปรับเปลี่ยนรูปโฉมหลายๆ ประการตัดความเป็นหนังกำลังภายในแบบ Tradition ออกจนเกือบหมด กลายเป็นงานที่ฉุดลากหนังกำลังภายใน ให้เข้าอยู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง

น่าจะพูดได้ว่า Swordsman II หรือ เดชคัมภีร์เทวดาภาคสอง นั้นเป็นงานที่โด่งดังที่สุดในหนังไตรภาค หนังใส่สีสรรค์ความหวือหวาต่างๆ เพิ่มขึ้นมาจากภาคแรกเป็นทวีคูณ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ หลุดโลกเลยเถิดไปจนเกินรับได้เหมือนหนังภาคสาม ฉีเคอะ ผสมผสานคิวบู๊ระดับเทพ งานสร้างตระกาลตา เข้ากับเนื้อหาที่ถือว่ารุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกำลังภายในทั่วไป กับการพูดถึงประเด็นเรื่องความรักร่วมเพศ ได้อย่างคาดไม่ถึง

ฺเดชคัมภีร์เทวดาภาคสอง จับความจต่อเนื่องจากจุดสิ้นสุดของหนังภาคแรก หลังจากพบเรื่องราวมากมาย เหล่งฮูชง (หลี่เหลียงเจี๋ย) งักเล็งซัง (หลี่เจียซิน) และศิษย์น้องร่วมสำนักแห่งหัวซาน ที่เบื่อหน่ายการแก่งแย้งฆ่าแกงกันในยุทธจักร ตัดสินใจที่จะถอนตัว ไปใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข แต่มันไม่ง่ายอย่างที่พวกเค้าคาด เหล่งฮูชง งักเล็กซัง และศิษย์หัวซานที่เหลือรอดชีวิต ตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าอย่าง ที่ทิ้งเยื่อไยกันเอาไว้อย่าง ยิ่นอิ๋งอิ๋ง (กวนจื่อหลิน) สาวชาวดอย แห่งพรรคสุริยันจันทรา

ศิษย์หัวซาน ทั้งหลายกลับพบตัวเองกลายเป็นหมากแห่งสงครามการแย้งชิงอำนาจ ในพรรคมารแห่งชาวชายแดนนอกกำแพง อย่างพรรคสุริยันจันทรา เหล่งหูชง ตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ยิ่นอิ๋งอิ๋ง ในการช่วยเหลือบิดาของนาง ที่ถูกคนในพรรคทรยศหักหลัง แย่งชิงอำนาจ ของ “ตงฟางปุกป้าย” ผู้ทรยศ มันจับตัวเจ้าสำนัก กักขังขังไว้ในสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง เหล่งหูชงลักลอบเข้าไปเพื่อช่วยคน กลับได้เจอกับหญิงสาวลึกลับ (หลิงชิงเสีย) นางหนึ่งที่เขาไม่ทราบชื่อ ที่เขาได้เคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้แม้แต่จะพูดคุย หากแต่เพียงร่วมกันร่ำสุสา กลับสร้างความรู้สึกดี ให้แก่จอมยุทธหนุ่มอย่างประหลาด นี้เองอาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ถูกชตากัน”

ในวันนี้ เหล่งหูชง กลับพบนางในสภาพนางบำเรอคนหนึ่งแห่งพรรคสุริยันจันทรา เขาพยายามจะช่วยเหลือนางให้ได้รับอิสระ โดยไม่ทราบเลยว่า ฐานะที่แท้จริงหญิงสาวไม่ทราบชื่อนั้น สำคัญยิ่งยวดกว่าที่เขาคิด ชื่อของ “นาง” เป็นชื่อที่แค่เอ่ยออกไป ยุทธจักรก็สั่นไหว ด้วยคำเพียงสี่พยางต์ “ตงฟางปุกป้าย” ชายผู้ยอมเสียอวัยะแห่งความเป็นชายของตัวเองเพื่อสุดยอดวิชา ชายที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธทั่วแผ่นดิน

เหล่งหูชง รวมถึง ตงฟางปุกป้าย เองกลับไม่ได้ล่วงรู้เลยความ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น กลับแปรเปลื่ยนเป็นความยุ่งยาก และโศกนาฏกรรม ต่อชีวิตของทั้งสอง

ความน่าตกใจประการหนึ่งของเรื่อง ก็คือการที่ฉีเคอะได้ทำสิ่งที่ กิมย้ง และแฟนๆ กระบี่เย้ยยุทธจักรยังไม่กล้าคิดนั้นก็คือ การสร้างความยุกยากในชีวิตครั้งใหม่ ให้กับพระเอกหนุ่มผู้รักความสงบอย่าง เหล่งหูชง ด้วยการสร้างเรื่องให้เขา มีความสัมพันธ์ ในเชิงชู้สาว กับตัวละครที่ชื่อว่า “บูรพาไม่แพ้” หรือ ตงฟางปุกป้าย (หลินชิงเสีย) ซึ่งใครที่เคยสัมผัสบทประพันธ์เรื่องนี้มาบ้างก็คงจะทราบ ว่าตัวละครตัวนี้เป็นกระเทย นี่ก็ถือเป็นความกล้าหาญของ ผู้สร้างในการใส่เรื่องรักร่วมเพศเข้าไปในภาพยนตร์กำลังภายใน ซึ่งเราไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก

คงไม่ต้องถามแล้วว่า เดชคัมภีร์เทวดาภาค 2 นี้จะบิดเบือนนิยายเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรไปมากน้อยเพียงใด เพียงภาคแรกก็เละไปแล้ว ภาค 2 จะเคารพต้นฉบับก็กระไรอยู่ แต่เพี่อไม่ให้โดนแฟนของกิมย้งสาปแช่งไปมากกว่านี้ ฉีเคอะก็พยายาม คงแก่นในด้านการสะท้อนภาพ แห่งการแก่งแย้งชิงอำนาจไว้ให้เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องอยู่ต่อไป หนังสร้างเรื่องราวของตัวละครที่ มุ่งแสวงหาการใช้ชีวิตอย่างสันโดด และหลีกหนีจากความขัดแย้ง อย่างตัวเอกที่ชื่อว่า เหล่งฮูชง ที่ไม่ว่าจะพยายามหนี และหลบเลี้ยงต่อความขัดแย้ง ไปไกลแค่ไหน ความยุ่งยากแห่งการแก่งแย้ง ช่วงชิงอำนาจ ก็จะตามล่าเราจนเจอ

ความยุ่งยากในชีวิตของเหล่งหูชง นั้นเกี่ยวข้องกับความดี ความเลว ที่ไม่สามารถตัดสินตีความได้ง่ายดายเหมือนตัวอักษร อาจารย์ที่เลี้ยงดูกลับกลายเป็นผู้จ้องเอาชีวิต กับเหตุการณ์ศึกแห่งพรรคสุริยะจันทรา เหล่งหูชง ต้องเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ว่า “สหาย” ที่เขาให้ความรู้สึกดีด้วย และอาจรวมถึงหญิงที่เขารัก กับศัตรูอันดับหนึ่ง จอมมารผู้ชั่วร้าย และความแค้นที่ไม่อาจรอมชอม นั้นกลับมาซ้อนทับเข้าด้วยกัน เป็นจุดที่ดัดสินใจได้ยากยิ่ง

เดชคัมภีร์เทวดาสอง ไม่ได้พูดถึงเฉพาะความคลุมคลือของเส้นแบ่งระหว่างความดีความเลว เท่านั้น แต่รวมไปถึงเส้นแบ่งระหว่าง ความผิดบาป และความถูกต้อง สัมพันธ์ของเหล่งหูชง กับตงฟางปุกป้าย (ทั้งทางจิตใจ และทางร่างกาย) เกิดขึ้นแล้ว กลายเป็นความอับอาย ความเสื่อมเสีย แต่ในใจของทั้งสองนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ออกมาจากใจ เหล่งหูชงกลับ หวั่นไหวต่อความผิดบาปที่เกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นกฏระเบียบของสังคมประเภทนี้ ท้ายที่สุด เหล่งหูชง เองใช้ทั้งชีวิตเพื่อทำลายเส้นแบ่งจอมปลอมเหล่านี้ ก็หนีไม่พ้นต่อเรื่องวุ่นวายเหล่านี้

เดชคัมภีร์เทวดาสอง เป็นหนังกำลังภายในยิ่งใหญ่แห่งยุคประกอบไปด้วยงานสร้างชั้นยอด เนื้อเรื่องน่าสนใจ คิวบู๊ระดับปฏวัติวงการ แต่ส่วนที่เป็นไฮไลท์อย่างแท้จริง ของเรื่องก็คือ ตัวละครที่ชื่อว่า ตงฟางปุกป้าย ที่ถูกตีความใหม่จากนิยาย ต้นฉบับความลักเพศถูกตีความในทำนองความผิดปกติ น่ารังเกรียจ เป็นตัวละครที่มัวเมากับความลุ่มหลง จนทำลายพรรคสุริยันจันทราและชีวิตชองตัวเอง คงจะมีเพียงข้อสุดท้ายนี้เท่านั้น ที่ภาพยนตร์คงไว้เช่นเดียวกับฉบับนิยาย นอกเหนือจากนั้นฉีเคอะล้วนตีความใหม่ขึ้นมา โดยองค์ประกอบส่วนสำคัญก็คือ ดาราหญิงชาวไต้หวันที่ชื่อว่าหลินชิงเสีย ที่จากงานชิ้นนี้ก่อให้เกิดภาพจำของเธอไปตลอดกาล

หลินชิงเสียให้ภาพของตงฟางปุกป้ายออกมา สูงส่ง สง่างาม แต่ดูลึกลับ เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งความเป็นชาย และหญิงรวมกัน เรียกว่าทุกวินาทีที่เธอปรากฏกายในภาพยนตร์ ความสนใจทั้งหมดจะตกไปอยู่ที่เธอ พูดง่ายๆว่าเธอขโมยหนังไปเป็นของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย มีความเห็นเล็กน้อยเกี่ยวกับ บทของดาราสาวผู้นี้ จากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เลสลี่ จาง จะบอกว่ายังไง หลินชิงเสีย ก็เป็นหลินชิงเสีย เป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ไม่เห็นจะดูเหมือนผู้ชายตรงไหน (เลสลี่ จางพยายามเปรียบเทียบบทใน Farewell My Concubine ของเขากับบท ตงฟางปุกป้าย ของหลินชิงเสีย)

อาจจะเป็นอย่างที่เลสลี่ จางพูดจริงๆ หลินชิงเสีย ยังคงฉายความเป็นผู้หญิงออกมาอย่างเต็มร้อย ไม่ว่าจะอยู่ในชุดชาย หรือหญิง แต่ถ้ามองไปอีกด้าน รูปลักาณ์ความเป็นหญิงของหลินชิงเสีย อาจจะจำเป็นต่อหนังในฐานะ หนึ่งในคำถามสำคัญของเรื่อง กฏเกณฑ์ และเส้นแบ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นคืออะไร เป็นไปตามกกฏของโลก ธรรมขาติ หรือเพียงของสมมุติเ ความดี ความเลว มีอยู่จริง หรือไม่, ความผิด ความถูก มีจริง หรือไม่, ความรักอันถูกต้องตามทำนองครองธรรมของธรรมชาติ (อย่างที่ความรักของ เหล่งหูชิง และตงฟางปุกป้าย บกพร่องไป) มีอยู่จริงหรือไม่, ความเป็นชาย (ตามธรรมชาติ) หรือความเป็นหญิง (ความรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นผู้หญิงเต็มร้อย) ตงฟางปุกป้าย มีอยู่จริงหรือไม่ สุดท้าย ฉีเคอะ ก็ยังพยายามเชื่อมโยง เนื้อเรื่องทุกส่วน ของหนัง กับเนื้อหาหลักดั่งเดิมของกิมย้งที่ว่า ความจริง ที่ไม่อาจโต้แย้งได้ นั้นมีอยู่จริงหรือไม่

พูดถึงส่วนอื่นๆ ของหนังกันบ้าง ดาราที่ว่าขนมากันเยอะในภาคหนึ่งแล้ว ภาคสองนี่ยิ่งกว่าโดยหนังเปลี่ยนตัวแสดงจากภาคแรกเกือบทั้งหมด เหล่งหูชงลูกศิษย์คนโตแห่งสำนักหัวซัว เจ้าเพลงกระบี่เก้าเดียวดาย รับบทโดยยอดพระเอกกังฟูหลี่เหลี่ยงเจียเป็น ถือแม้ภาพความเป็นจอมยุทธเจ้าสำราญ ไม่นำพากับเรื่องราวยุทธจักรจะมีไม่มากเท่าแซมฮุย แต่ก็มีความสามารถด้านกังฟูที่ยอดเยี่ยมาทดแทน งักเล็กซัง แสดงโดยดาราสาวแสนสวยหลี่เจียซินโดยส่วนตัวผมเห็นว่าเธอสวยกว่า เยี่ยถง ที่เล่นเป็นงักเล็งซังในภาคหนึ่งอยู่หลายขุม แต่ฝีมือการแสดงนั้นด้อยกว่า แต่ก็มีหลายฉากที่เธอเล่นได้ ดีเช่นฉากที่ศิษย์พี่ร่วมสำนักทั้งหมดถูกตงฟางปุกป้ายฆ่าตาย เธอแสดงออกได้ดีมาก ส่วนเยิ่นอิ๋งอิ๋ง ได้กวนจือหลิน มาเล่นเทียบกับจางหมิ่นแล้ว กวนจือหลินทำให้ภาพของเยิ่นอิ๋งอิ๋ง ที่อ่อนโยน และนุ่มนวลกว่าเดิม

ดาราที่เหลือก็เป็นดารามีระดับทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น หลี่จื่อหง, หลิวชุน, Yen Shi-Kwan, หลี่จื่อหง, ฉินเจียเล่อ โดยมีเพียง Fennie Yuen เท่านั้นที่กลับมารับบทเดิมที่เคยแสดงไว้ในภาคแรก การเฉลี่ยบทของตัวละครก็ทำได้ดีมาก ไม่ใช่เฉพาะตัวเด่นๆ อย่างเหล่งหูชง และตงฟางปุกป้าย เท่านั้นที่หนังให้ความสำคัญ แต่ตัวละครทุกตัวถูกสร้างให้มีมิติ และสีสัน ทำให้ตัวประกอบต่างๆ ดูมีนำหนัก และมีความสำคัญ

โปรดักชั่น ต่างๆ หนังทำได้เหนือกว่าหนังกำลังภายในเรื่องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ฉาก เสื้อผ้า เทคนิคพิเศษทำออกมาแล้วดูมีระดับมีราคา หนังเปลี่ยนโทนสีจากธรรมชาติ สู่ความฉูดฉาด สีแดง ส้ม เหลือง ที่แสบจนเข้าตา โดยเฉพาะกับเสื้อผ้าของตัวละคร ตงฟางปุกป้าย สร้างให้ Swordsman II เป็นหนังกำลังภายในฉูดฉาดมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เน้นดนตรีประกอบที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วในภาคหนึ่ง ก็ยังคงเป็นเช่นในภาคสอง แต่มีสีสรรค์แห่งความทันสมัยมากยิ่งขึ้นนิดหน่อย

ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงได้เลย ก็คือความยอดเยี่ยมในฉากแอ็กชั่น และฉากต่อสู้ต่างๆ ที่ถูกดูแลโดยทีมผู้กำกับคิวบู๊กลุ่มใหญ่อย่าง จงยิ่วซิง หม่าหยกซิ่ง และหยวนปัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ในการควบคุมของผู้กำกับ เฉิงเสี่ยงตง ที่เน้นการนำเรื่องทาทางเหนือจริง วิจิตรพิศดาร เข้าช่วยให้ฉากบู๊ต่างๆ เข้าใกล้เส้นแห่งความเป็นหนังแนว Fantasy เข้าไป ความโดดเด่นด้านนี้ถูกขับเน้นอย่างชัดเจนในหนังเรื่อง Swordsman 2 นี้อย่างหนัก ด้วยงานสลิงค์ที่ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในช่วงเวลานั้น การเหิญเวหา รวมถึง ใช้กำลังภายใน ผลักดันให้อาวุธอย่างกระบี่ เข็ม กับด้าย ล่องลอย เข้าประหัสประหาร กันทำได้น่าตื่นเต้น และดูสมจริงสมจัง อย่างหลือเชื่อ

หนังมีฉากบู๊ที่เยี่ยมๆ เต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นฉากที่ หลี่เหลี่ยงเจี่ยด้วนกระบี่กับหลิวชุน ฉากที่เหล่งหูชงบุกเข้าไปในพรรสุริยันจันทรา ฉากพรรคสุริยันจันทรายกขบวนเข้าลถ่มเผ่าแม้ว แต่ฉากที่ติดตาคนดูที่สุดก็คือฉากสู้สุดท้ายที่ผาไม้ดำ แต่ด้วยฉาก เรื่องราว การแสดง ทำให้ฉากนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำของประวัติศาสตร์หนังกำลังภายใน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการ ของหนังกำลังภายในที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการอีกเรื่อง