ค้นหาหนัง

The Lookout

The Lookout
เรื่องย่อ : The Lookout

เมื่ออุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้ คริส (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) นักกีฬาฮอคกี้ชื่อดังของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งสมองพิการ ไม่สามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ ทั้งความฝัน ชื่อเสียง อนาคต และชีวิตที่รุ่งโรจน์ของคริสต้องดับวูบลง จากฮีโร่ของโรงเรียนต้องกลายเป็นภารโรงกระจอกที่ธนาคารแห่งหนึ่งแต่ที่แย่กว่านั้นเขาต้องไปพัวพันกับแผนการปล้นธนาคารครั้งใหญ่ คริสจำต้องเลือกระหว่างความถูกต้องและเงินก้อนโตที่จะพาชีวิตอันแสนสุขของเขากลับมาเหมือนเดิม

IMDB : tt0427470

คะแนน : 7



ผู้ใดมีเงิน ผู้นั้นมีอำนาจ... จริงหรือไม่ ดิฉันไม่ทราบ แต่แวบแรกที่เห็น ดิฉันเดาเอาเองว่า หนังคงตั้งประชด

The Lookout เล่าเรื่องของ คริส แพรตต์ นักกีฬาฮอคกี้ดาวรุ่งในระดับไฮสคูลที่จู่ๆ อนาคตก็มีอันต้องดับวูบ เมื่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งเป็นผลมาจากความสะเพร่าชะล่าใจของตัวเขาเอง

หนังเปิดเรื่องที่อุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้น จากนั้นจึงพาผู้ชมตัดช่วงข้ามเวลามายัง 4 ปีให้หลัง
ผลของอุบัติเหตุทำให้เพื่อน 2 คนของคริสที่นั่งอยู่ในรถด้วยกันเสียชีวิตคาที่ แฟนสาวของเขารอดมาได้แต่ไม่ยอมพูดกับเขาอีกเลย ส่วนตัวเขาเอง แม้ภายนอกจะดูปรกติดีทุกอย่าง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สมองของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก และส่งผลให้เขามีอาการผิดปรกติพิลึกพิลั่นสารพัด

ความผิดปรกติเล็กๆ น้อยๆ ของคริสก็เช่น อากัปกิริยาในการทำกิจกรรมทั่วไปบางอย่าง เป็นต้นว่า ครั้งหนึ่งเขานัดกินกาแฟกับที่ปรึกษาทางจิตส่วนตัว เมื่อกาแฟถูกนำมาเสิร์ฟ คริสตั้งใจจะหยิบช้อนกาแฟซึ่งอยู่วางอยู่ทางด้านซ้ายของแก้วขึ้นคน ถ้าเป็นคนถนัดขวาทั่วไป ก็คงเอื้อมมือขวาไปหยิบช้อนตรงๆ (หรือบางคนอาจหมุนแก้วให้ช้อนมาอยู่ทางขวา) แต่คริสไม่ เขาบังคับให้มือขวาอ้อมไปทางด้านหลังของแก้ว จากนั้นจึงใช้มือซ้ายช่วยขยับช้อนส่งให้มือขวา รวมแล้วกว่าจะได้ช้อนกาแฟมาใช้งานจึงใช้เวลามากกว่าคนปรติทั่วไปหลายเท่า

หรืออีกอาการหนึ่งซึ่งก็ยังถือว่าเล็กน้อยก็คือ บางครั้งคริสจะพูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาโดยไม่ทันได้กลั่นกรองให้รอบคอบ เช่น หนหนึ่งเขาพูดกับผู้หญิงคนหนึ่งว่า “ผมอยากเห็นคุณเปลือยจัง” และทันทีที่พูดจบก็ต้องรีบขอโทษขอโพย เพราะคำพูดนั้นหลุดออกมาโดยที่เขาไม่ตั้งใจเลยจริงๆ

แต่ที่หนักหนาที่สุดก็คือ เขามีความจำที่สั้นมาก นอกจากนั้นยังมีปัญหาอย่างหนักในการเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ จนถึงกับต้องพกสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งติดตัวไว้ตลอดเวลา หนึ่งเพื่อจดสิ่งที่เกรงว่าจะลืม และสองเพื่อเตือนตัวเองว่าสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันนั้น 1-2-3-4 มีอะไรบ้าง

ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ อาการทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ได้เกิดขึ้นกับคริสตลอดเวลา หมายความว่า กับบางคนเขาอาจโอภาปราศรัยด้วยเป็นนานสองนานโดยไม่ลืมว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับใคร แต่กับบางคน คุยกันแค่ 15-20 นาที เขากลับต้องถามชื่อซ้ำไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ หรือกิจกรรมบางอย่างที่ต้องทำเป็นประจำ คนบางคนที่ต้องพบปะเจอะเจอทุกวัน เขาก็ทำและจำได้โดยไม่ต้องพึ่งสมุดบันทึก

ลักษณะเช่นนี้ทำให้คริสไม่อาจจัดว่าเป็นผู้ทุพพลภาพถาวร เขายังสามารถดำเนินชีวิตด้วยตนเองได้ (แม้จะไม่เป็นปรกติ) เขาย้ายออกจากบ้านที่มีฐานะร่ำรวยมาเช่าอพาร์ตเมนต์ซอมซ่ออยู่กับเพื่อนต่างวัยนัยน์ตาบอดที่ชื่อ ลิวอิส เขายังได้รับอนุญาตให้ขับรถ และยังสามารถหาเงินเลี้ยงตัวเอง ด้วยการรับหน้าที่ภารโรงกะดึกให้กับธนาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง

จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อคริสได้พบ แกรี่ สปาร์โก ชายหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งอ้างว่าเคยเรียนที่เดียวกันกับเขา ทั้งยังเคยเป็นคู่ควงระยะสั้นของพี่สาวเขาด้วย

แรกๆ การได้รู้จักกับแกรี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี เขาทำให้คริสรู้จักคนใหม่ๆ มีสังคมใหม่ๆ และยังทำให้เขาได้ตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเกือบจะลืมมันไปแล้ว

แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานคริสจึงตระหนักว่า แท้ที่จริงแกรี่ไม่ได้มาตีสนิทกับเขาด้วยเจตนาบริสุทธิ์เลยแม้แต่น้อย แต่มันเป็นเพราะแกรี่กับพรรคพวกกำลังวางแผนจะปล้นธนาคารที่เขาทำงานอยู่ และเพื่อให้แผนการสำเร็จลุล่วง คนพวกนั้นก็ต้องการข้อมูลบางอย่างจากเขา และต้องการให้เขาร่วมมือปล้นในครั้งนี้ด้วย

แน่นอน ในตอนแรกคริสย่อมต้องตกใจแล้วยืนกรานปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม แกรี่ก็ยกเหตุจูงใจอันเย้ายวนขึ้นมาหว่านล้อมคริส เขาถามคริสว่ายังจำชีวิตรุ่งโรจน์ของตนก่อนประสบอุบัติเหตุได้หรือไม่? เคยคิดไหมว่ามันแตกต่างกันแค่ไหนกับสภาพซอมซ่อไร้อนาคตที่เป็นอยู่ตอนนี้?

“ไม่อยากได้ชีวิตเดิมของนายคืนมาเหรอ?” แกรี่ถาม

“นายคืนให้ฉันไม่ได้หรอก” คริสย้อน

“ใช่ ฉันทำไม่ได้” แกรี่ยอมรับ “แต่มีบางอย่างที่ทำได้...จดลงไปในสมุดของนายด้วยนะคริส... ผู้ใดมีเงิน ผู้นั้นมีอำนาจ...ร่วมมือกับเรา เราจะแบ่งให้นายอย่างงาม และนายก็จะมีอำนาจที่จะทำได้ทุกอย่างตามที่นายปรารถนา”

The Lookout เป็นผลงานกำกับเรื่องแรกของ สกอตต์ แฟรงก์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นมือเขียนบทให้กับหนังดีๆ และดังๆ มากมาย อาทิ Dead Again, Little Man Tate, Get Shorty, Out of Sight (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ สาขาบทดัดแปลง) รวมถึง Minority Report

หนังออกฉายที่อเมริกาครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2007 เสียงวิจารณ์จากทั้งฝั่งผู้ชมและนักวิจารณ์ โดยรวมแล้วแกว่งตัวในแดนบวก (7.4 เต็ม 10 ใน imdb.com และบวก 87% ใน rottentomatoes.com)

หนังมีตัวละครที่น่าสนใจ เดินเรื่องได้สนุกสนานชวนติดตาม นอกจากนั้นยังโดดเด่นในเรื่องของการวางรายละเอียดหลายอย่างเพื่อทำหน้าที่ในเชิง ‘เย้ยหยัน’

ตัวอย่างก็เช่น ลิวอิส รูมเมตตาบอดของคริสนั้น แม้จะมองโลกไม่เห็น และไม่สามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ใช้ไม้เท้าเป็นตัวช่วย ทว่าเอาเข้าจริง เมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกัน ลิวอิสกลับทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล และคริสเป็นฝ่ายที่ต้องการการดูแลโดยตลอด

ในฉากเปิดตัวลิวอิส คริสกำลังหงุดหงิดหัวเสียเพราะหาที่เปิดกระป๋องไม่เจอ เขาจึงโทรหาลิวอิสซึ่งขณะนั้นกำลังทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ เมื่อฟังปัญหาจิ๊บจ๊อยของเพื่อนรุ่นน้องจบ ลิวอิสก็คว้าไม้เท้าคู่ใจเดินทางกลับบ้าน และเมื่อมาถึงเขาก็หันไปคว้ากระป๋อง จับมันเข้าเครื่องเปิด (คริสลืมไปว่าที่นี่ใช้เครื่องเปิดกระป๋อง ไม่ใช่ที่เปิดแบบที่ต้องใช้มือหมุนธรรมดา เขาจึงหามันไม่เจอ) แล้วทำอาหารต่อจนเสร็จอย่างคล่องแคล่ว

มากกว่านั้นก็คือ คนที่ตามองไม่เห็นอย่างลิวอิส กลับมองคนได้ทะลุปรุโปร่งและลึกซึ้งมากกว่าคนตาดีๆ อย่างคริสมากมายนัก เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของแกรี่ สปาร์โก ทันทีที่คริสเล่าเรื่องเพื่อนใหม่คนนี้ให้ฟัง และเพียงครั้งแรกที่ได้เจอแฟนใหม่ของคริส (ที่แกรี่เป็นผู้แนะนำ) ลิวอิสก็ตั้งคำถามกับเธออย่างไม่ไว้หน้าทันทีว่า “เธอต้องอะไรกันแน่?”

หรือตัวของคริสเอง ทั้งที่มีปัญหาเรื่องการจัดระบบความคิดขนาดหนัก ทว่าลงท้าย เหตุการณ์ที่จะทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันอีกครั้ง กลับเป็นงานที่ต้องอาศัยความรอบคอบและการทำงานตามลำดับขั้นตอนเป๊ะๆ อย่างการปล้นแบงค์ ยิ่งกว่านั้นคือ หน้าที่ที่แกรี่มอบหมายให้เขาทำ ก็คือ การดูต้นทาง เป็นผู้ที่ต้องคอยระแวดระวังและส่งสัญญาณเตือนภัยให้เพื่อนร่วมทีม ทั้งที่ที่จริง สาเหตุที่ทำให้คริสต้องกลายมาเป็นคนทุพพลภาพเช่นนี้ และลงท้ายก็นำมาสู่การร่วมขบวนการปล้นครั้งนี้ เป็นเพราะความสะเพร่าเผลอไผล เพราะการไม่ฟังเสียงเตือนภัยของเพื่อนที่นั่งรถไปด้วยกันจนทำให้เกิดอุบัติเหตุในวันนั้นแท้ๆ..

แม้หน้าตาของ The Lookout จะดูเป็นหนังแอ็กชันจริงจัง อีกทั้งยังมีเนื้อหาว่าด้วยการก่ออาชญากรรมจี้ปล้น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว อารมณ์โดยรวมของมันก็ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจชวนให้ลุ้นระทึกหรือเต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคมชิงไหวชิงพริบเหมือนหนังปล้นแท้ๆ อย่าง The Italian Job, The Score หรือ Ocean’s 11

หนังไม่มีฉากกางแผนที่ วางแผนแยบยล ทดลองแผน ไม่มีอุปสรรคเยอะแยะคอยกีดกัด สิ่งสำคัญที่ผู้ชมต้องคอยลุ้นไม่ได้อยู่ที่ว่า แก๊งของคริสกับแกรี่จะปล้นสำเร็จหรือไม่ แต่คือการติดตามและเอาใจช่วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะส่งผลต่อชีวิตของคริสอย่างไร

ตลอดทั้งเรื่อง หนังให้ผู้ชมเห็นว่าคริสรู้สึกหดหู่สิ้นหวังกับสภาพที่เขาเป็นอยู่ไม่ใช่น้อย จากเด็กหนุ่มที่เคยมีอนาคตสดใสรออยู่ตรงหน้า มาบัดนี้เพียงแค่จะผ่านแต่ละวันไปให้ได้ยังแสนจะยากลำบาก
ครั้งหนึ่งลิวอิสถามคริสว่า เขาต้องการอะไรในชีวิต คริสตอบว่า “ผมต้องการชีวิตของตัวเองคืน”

คำพูดดังกล่าวสะท้อนถึงการไม่ยอมรับในสภาพปัจจุบันของตนเอง สำหรับคริส นี่ไม่ใช่ชีวิต และนี่ไม่ใช่ตัวเขา นักฮอคกี้ดาวรุ่งอนาคตไกลนั่นต่างหากที่เป็นตัวเขา เขายังดึงดันปรารถนาที่จะกลับไปเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่า นั่นเป็นเพียงอดีตที่ไม่อาจเรียกร้องให้หวนคืน

ร้ายกว่านั้นคือ คริสไม่เคยให้อภัยในความผิดพลาดที่ตัวเองเคยก่อไว้ หนังเล่าว่า บ่อยครั้ง เขาจะขับรถไปยังจุดที่เกิดอุบัติเหตุ จ้องมองมันอย่างเงียบสงบ ในใจครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และพร่ำกล่าวโทษตัวเองอย่างไม่จบสิ้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุพลิกผันสำคัญอีกครั้งของชีวิตผ่านพ้น คริสก็เรียนรู้และเข้าใจ
เขาเรียนรู้ว่า ทุกคนล้วนทำความผิดได้มากมาย และหลายครั้ง ไม่ว่าจะคร่ำครวญเสียใจสักแค่ไหนก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไข

ในฉากสุดท้ายของหนัง เสียงจากความคิดของคริสบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ทั้งอุบัติเหตุครั้งนั้น ช่วงเวลารุ่งโรจน์ก่อนเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น การปล้นที่เกิดขึ้น และสภาพที่เขาเป็นในปัจจุบัน
“ตอนนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของผม” คริสบอกตัวเองอย่างยอมรับและเข้าใจ

...ยอมรับและเข้าใจว่า ปัจจุบันคือความจริง แม้จะไม่งดงาม แต่เขาต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้

...ยอมรับและเข้าใจว่า ความผิดพลาดในอดีตนั้นมีไว้เพื่อเรียนรู้ ไม่ได้มีไว้ให้แบก