IMDB : tt0119925
คะแนน : 8
The Postman เป็นหนังที่ล้มคว่ำโครมใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งครับ ลงทุนระดับ $80 ล้าน แต่ได้คืนมาไม่ถึง $20 ล้าน โดนกระหน่ำสับเป็นบะช่อก็ว่าได้
แต่สำหรับผม คงเพราะได้ฟังกิตติศัพท์แง่ลบมามากน่ะครับ พอได้ดูเข้าจริงเลยไม่ได้รู้สึกว่าหนังมันเลวร้ายอะไรนัก
หนังเล่าถึงโลกอนาคตหลังสงครามครั้งใหญ่ อเมริกากลายเป็นแดนแร้นแค้น (ใกล้เคียงกับยุคคาวบอย) ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเทคโนโลยี และผู้คนเริ่มสิ้นหวัง ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าโฮลนิสต์ นำโดยนายพลเบทเลเฮม (Will Patton) ลุกขึ้นมาทำตัวเผด็จการ ระรานหมู่บ้านต่างๆ ใครขวางก็ฆ่าทิ้ง
ตัวเอกของหนังคือ นักแสดงเร่ไร้นาม (Kevin Costner) ที่วันหนึ่งชีวิตพลิกผันหลังจากไปเจอชุดบุรุษไปรษณีย์และถุงจดหมายในรถเก่าๆ ตอนแรกเขาก็แค่จะสวมรอยเป็นไปรษณีย์เพื่อแลกข้าวกิน แต่ไปๆ มาๆ เขากลายเป็นผู้นำความหวังมาสู่คนทั้งแผ่นดิน รวมใจคนให้กล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับพวกโฮลนิสต์ และฟื้นฟูอเมริกากลับมาอีกครั้ง
จริงๆ พล็อตมันโอเคเลยนะครับ มันคือหนัง Epic ดีๆ นี่เอง แล้วผมยังชอบแนวคิดที่ใช้หน้าที่ของบุรุษไปรษณีย์มาผูกกับเรื่องความหวังของผู้คน เพราะลองคิดๆ ดูแล้วถ้าโลกเป็นแบบในหนังมันก็ไม่แปลกที่ผู้คนจะรู้สึกสิ้นหวัง แต่ละหมู่บ้านก็ต้องดูแลตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าส่วนอื่นๆ ของประเทศเป็นอย่างไร พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ต่างเมืองยังมีชีวิตอยู่ไหม ครั้นยังเจอพวกผู้ร้ายมาปล้นชิงเข่นฆ่าอีก
แต่พอตัวเอกรับทำหน้าที่บุรุษไปรษณีย์ส่งข่าวให้ผู้คน นอกจากจะทำให้ญาติมิตรได้ติดต่อแล้ว การรวมพลัง รวมใจ ร่วมมือกันสู้ก็ง่ายขึ้น มันสะท้อนเลยครับว่าความหวังของคนมีพลังอย่างมากมายจริงๆ
เหมือนที่ผมพูดไว้ตอนเขียนถึง Noah นั่นแหละครับ ความหวังก็คือรูปหนึ่งของความเชื่อ เป็นความเชื่อที่มีพลัง และบางครั้งความหวังจะเกิดได้ก็ต้องมีใครหรืออะไรสักอย่างมาจุดไฟให้มันติด และกับในเรื่องนี้ เดอะ โพสต์แมนนี่เองที่ทำให้มันเกิดขึ้น
ครับ พล็อตโอเค ตัวหนังผมว่าก็ดูได้เรื่อยๆ นะครับ เพียงแต่การเดินเรื่องอาจจะช้าไปบ้าง พลังอาจไม่เยอะเท่าไร การเร้าอารมณ์ให้เราฮึกเหิมตามอาจไม่เข้าเป้านัก และหนังยังยาวตั้ง 3 ชั่วโมงจึงไม่แปลกหากจะมีคนเฉยมากกว่ามีคนชอบ
เรื่องนี้ Costner แสดงนำ อำนวยการสร้าง และกำกับเองครับ คาดว่าคงหมายเจริญรอยตามความสำเร็จระดับบิ๊กๆ จาก Dances With Wolves เพราะสไตล์เรื่องใกล้ๆ กัน แนวออกมากึ่งคาวบอยๆ เหมือนกัน และยังโปรอเมริกาแบบเต็มพิกัดอีกต่างหาก แต่ก็น่าเสียดายที่หนังไปได้ไม่ถึงจุดนั้น
โดยรวมผมไม่ผิดหวังครับ เพราะไม่ได้คาดหวัง และจะว่าไปหนังก็พอดูได้เรื่อยๆ เอาเป็นว่าถ้าอยากลองก็ไม่ห้ามครับ เพียงแต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอย่าคาดหวังก็แล้วกัน