ค้นหาหนัง

The Protector | ต้มยำกุ้ง

The Protector | ต้มยำกุ้ง
เรื่องย่อ : The Protector | ต้มยำกุ้ง

การเดินทางข้ามโลกของ ขาม (จา พนม ยีรัมย์) เด็กหนุ่มบ้านป่าที่ชีวิตต้องพลิกผันโดยเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลระดับประเทศที่ลักพาช้างพลายสองพ่อลูก ซึ่งเด็กหนุ่มและพ่อของเขารักดั่งชีวิต และมีความมุ่งหมายอันสูงสุดที่จะมอบเป็นคชบาทแด่ในหลวง ไปขาย ณ ประเทศออสเตรเลีย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือและรักษาชีวิตของช้างอันเป็นที่รักของเขาได้ นั่นก็คือ การบุกตะลุยถึงถิ่นเสือ โดยการเดินทางข้ามโลก เรื่องไม่ง่ายอย่างใจคิด แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก จ่ามาร์ค (หม่ำ จ๊กมก) นายตำรวจไทยและปลา (บงกช คงมาลัย) สาวไทยที่ถูกหลอกมาขายตัวในซิดนีย์ก็ตาม แต่ที่นั่น เขากลับต้องไปพัวพันกับการไล่ล่าของแก๊งค์มาเฟียที่นำโดย มาดามโรส (จิน ซิง) ที่มีลูกสมุนต่างชาติที่เต็มไปด้วยฝีมือทางการต่อสู้อย่าง จอห์นนี่ (จอห์นนี่ เหงียน) และ ทีเค (นาธาน โจนส์) อย่างไม่ได้ตั้งใจ ณ วินาทีนี้ การต่อสู้ข้ามชาติเพื่อเอาชีวิตรอดของเด็กหนุ่มและเพื่อนพ้อง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพื่อตามหาและช่วยเหลือ พ่อใหญ่ และ ขอน ช้างพ่อลูก ที่เปรียบได้กับญาติพี่น้องของเขา นำไปสู่บททดสอบและการต่อสู้ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาให้โลกได้ล่วงรู้ถึง อานุภาพของ แม่ไม้มวยไทยโบราณ ที่หนักหน่วง รุนแรง และยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน โดยเฉพาะ ตำนานมวยคชสาร

IMDB : tt0427954

คะแนน : 10



หนังเจ้าของประโยค “ช้างกูอยู่ไหน” ในตำนานน่ะนะครับ ว่าด้วยขาม (จา พนม ยีรัมย์) กับการตามหาช้างพ่อลูกที่โดนพวกค้าสัตว์ข้ามชาติจับส่งไปกรุงซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย

ผมดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่เข้าโรงครับ ยอมรับว่าชอบ องค์บาก มากกว่ามาก และสารภาพแบบไม่อ้อมค้อมว่าเฉยๆ กับเรื่องนี้น่ะครับ

จุดขายของหนังก็คือฉากแอ็กชัน ซึ่งก็ไม่เลวน่ะครับ การออกลีลาบู๊ของพี่จาและเหล่าสตันท์ถือว่าน่าพอใจ แต่จะน่าเสียดายนิดๆ ตรงการตัดต่อที่บางฉากก็ไวไปจนไม่เห็นลีลาบู๊ หรือบางซีนก็จับภาพในมุมที่ยังไม่โดนหรือไม่ทำให้เร้าใจเท่าไร แต่อย่างฉากอัดกันแบบ Long Take ที่ร้านอาหารต้มยำกุ้งนั่นทำได้ดีครับ การเตรียมคิววางกล้องไล่ตามนี่ถือว่าน่าปรบมือทีเดียว

ครับ ด้านฉากบู๊ถือว่าโอเค แต่จุดที่ผมและเชื่อว่าหลายคนคงเห็นตรงกันคือบทที่ดูโล่งโถงเกินไป บางอย่างก็ดูไม่สมเหตุผล อย่างตอนต้นที่พ่อของขามโดนยิง คือเสียงปืนมันก็ดังน่ะนะครับ พี่ขามก็ได้ยิน แต่พี่ขามแกเอาแต่ตามช้างอย่างเดียว คือพ่อทั้งคนนะครับ ไม่คิดจะพาไปหาหมอก่อนเลยรึ

แล้วช่วงท้ายของหนังก่อนการต่อสู้ช่วงไคลแม็กซ์นั่น หนังมีฉากพี่ขามแกแสดงความสะเทือนใจแบบจัดเต็มกับชะตากรรมของช้าง ยืนเศร้าหมดอาลัยอยู่นานมาก ขนาดโดนพวกลิ่วล้อตัวร้ายอัดก็ยังไม่มีแรงตอบโต้…ในขณะที่ฉากพ่อโดนยิง ไม่มีอะไรสื่อเลยว่าพี่เศร้า… เข้าใจครับว่าอยากสื่ออารมณ์ว่าพี่ขามกับช้างผูกพันกันแค่ไหน แต่… มันดูตลกๆ อยู่นา

ผมไม่รู้นะครับว่าฉากดราม่าในหนังที่โดนตัดออกตามคำสั่งเบื้องบนน่ะมีฉากอะไรบ้าง เคยได้ยินว่าจริงๆ หนังมีบท มีซีนดราม่าพอสมควรแต่ก็โดน “คนบางคน” สั่งให้หั่นออกไปจนหนังดูเบาไปเลย

ผมอยากให้ “คนบางคน” นั้นดู Taken เป็นตัวอย่างครับ นี่ก็หนังว่าด้วยการตามล่า “สิ่งที่หายไป” เหมือนกัน แต่ทำไมมันถึงมันส์ มันถึงทำให้เราอิน และมันถึงทำให้เราเชื่อว่าพระเอกยินดี “ตามไปสุดหล้า เพื่อเอาลูกข้าคืน” ซึ่งคำตอบก็คือสัดส่วนที่พอเหมาะของดราม่ากับแอ็กชันนี่แหละ

ที่สำคัญคือ Taken ยาวแค่ 93 นาที ส่วนต้มยำกุ้งบ้านเรายาว 105 นาที (อันนี้คือฉบับฉายไทยนะครับ) แต่แปลกที่หนัง 93 นาทีมีครบทั้งบู๊ ดราม่า และความผูกพัน ส่วนหนัง 105 นาทีกลับมีแต่ “ช้างกูอยู่ไหน”

เรื่องนี้ผมไม่ตำหนิทีมงานครับ เชื่อว่าทุกท่านพยายามแล้ว และจริงๆ คือพวกท่านทำได้น่าพอใจด้วย ฉากบู๊แต่ละฉากนี่ทุ่มเทเจ็บจริง แต่ก็เหมือนทุกสิ่งนั่นแหละครับ ที่หากไม่มีสมดุลย์เพียงพอรสชาติมันก็จะไม่กลมกล่อม ซึ่งก็เข้าใจเช่นกันว่าบางครั้งอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานในบางค่ายก็ยังถูกจำกัดโดยเจ้าของทุนอยู่

ถ้าถามว่าชอบอะไรในเรื่อง ผมชอบโลเกชั่นตอนขามกราบช้างที่ริมผาครับ สวยมาก นั่นแหละคืออะไรที่แสดงถึงความงดงามแบบไทยๆ ได้โดยไม่ต้องปรุงแต่งเซ็ทฉากอะไรให้มากมาย ซึ่งเอกลักษณ์ของประเทศไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของเสมอไป แต่การจับภาพบรรยากาศอันน่าภูมิใจของบ้านเรา มรดกทางธรรมชาติที่ประเมินค่าไม่ได้ของบ้านเรานั่นก็น่าจะเข้าข่ายฉายภาพแบบไทยๆ ได้เหมือนกัน

เหมือนถามว่าทุกวันนี้พอพูดถึงโรมเราคิดถึงอะไร แน่นอนว่าเป็นบรรยากาศงามๆ ที่แฝงกลิ่นอายโบราณแบบที่เราเห็นในหนังไม่รู้กี่เรื่อง ได้อารมณ์โรแมนติกกำลังดีพอๆ กับปารีส นี่แหละครับเอกลักษณ์แท้ๆ ที่เราไม่ต้องปรุง ไม่ต้องจัดฉากให้มาก ว่าง่ายๆ คือบ้านเรามีอะไรดีๆ อีกหลายอย่างที่น่านำมาเสนอให้ชาวโลกเห็น

น่าคิดนะครับที่ตอนฝรั่งเขายกกองถ่ายมาถ่ายหนังในไทย เขาไม่ได้พุ่งเป้าไปตามวัดหรือการแสดงร่ายรำแบบไทยๆ แต่ส่วนมากเขาจะพุ่งไป 2 แหล่ง แหล่งแรกคือสถานเริงรมย์ อีกแหล่งคือธรรมชาติโดยเฉพาะริมทะเล และเกาะต่างๆ… ชวนให้คิดว่าอะไรหนอที่คนต่างบ้านต่างเมืองเขาเห็น เมื่อเอ่ยถึงประเทศไทย

ค่อนข้างเข้าใจทีมงานที่พยายามใส่สัญลักษณ์ของไทยอย่างช้างหรือพระพุทธรูปมาเข้าไปในฉาก แต่โดยส่วนตัวรู้สึกว่าใส่เข้ามาแล้วออกแนวประกอบฉากมากกว่าจะทำให้อินหรือมีความหมายลึกซึ้งในสิ่งเหล่านั้น

ไปๆ มาๆ ผมว่าใน “องค์บาก” ยังดูแสดงสิ่งมีคุณค่าของไทยแบบพอเหมาะและมีความหมายกว่ากันเยอะครับ ไม่ว่าจะตัวองค์บากเองหรือบทสมทบของพี่หม่ำที่ดูมีคุณค่าน่าจดจำ

อ้อ และอีกอย่างที่ชอบในเรื่องนี้คือพี่หม่ำครับ แสดงได้ดี เป็นชูรสที่เหมาะมากกับหนัง ลึกๆ อยากให้แกเป็นพระเอกไปเลยก็ดีนะ ประมาณว่าผูกเรื่องให้แกเป็นตำรวจไทยไปทำงานแบบนี้แหละ แล้วก็โดนจัดฉากแบบในเรื่อง โดนใส่ความอะไรก็ว่าไป ก่อนจะให้แกสืบและหาทางแก้ต่าง พร้อมถล่มองค์กรร้าย ผมว่าแม้มันจะเป็นสูตรแต่น่าจะสนุกนะ

โดยรวมถือเป็นหนังแอ็กชันที่ดูได้ครับ เสียแต่บทนี่แหละที่ทอนความน่าสนใจของหนังลง และขอกระซิบนิดๆ ว่าฉากแอ็กชันบางฉากในเรื่อง ผมก็แอบเฉยเหมือนกัน

อย่างตอนขามเจอรุมครั้งแรกที่ซิดนี่ย์ แล้วมีพวกขับมอเตอร์ไซค์มาไล่ชนในอาคารน่ะครับ แอบคิดว่า “พี่ขับมอเตอร์ไซค์ไล่ชนคนในที่แคบแบบนั้น พี่นั่นแหละเสียเปรียบครับ” ยิ่งสองมือต้องจับแฮนด์ตลอด แบบนี้พี่ขามแกโดดซัดหมัดเดียวก็จอดแล้ว เพราะจะเอามือขึ้นมากันก็ไม่ได้ ขาก็ไปไหนไม่ได้ ยืดให้ตายก็ไม่พ้นตัวรถ มิหนำซ้ำถ้าคนปกติโดนต่อยก็แรงแค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าพี่ซึ่งขับรถพุ่งเข้าหาพี่ขามด้วยความเร็วแล้วโดนต่อยเข้า พี่จะเจอแรงกระทำของตัวเองกระแทกกลับสลบเหมือดไปเลยนะพี่…

ไม่น่าเชื่อว่ามุกมอเตอร์ไซค์นี่ยังจะอุตส่าห์เข็นมาอีกในภาค 2

และตอนต้นที่พี่ขามแกขี่เรือไล่ล่า ถ้ามาคิดขำๆ ผมว่าพี่ล่าช้างได้ล้างผลาญมากครับ ทั้งเรือล่ม บ้านทรุด ระเบิดตูม 555 สงสารคนที่ดันไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ในขณะที่บ้านไอ้สจ. ตัวร้ายในเรื่องดันไม่โดนอะไรเท่าไร แค่กระจกแตกนิดๆ ของพังบ้างหน่อยๆ เท่านั้น (ขนาดฉากพิเศษในซีนนี้ที่ถูกตัดออกไป บ้านก็ยังไม่ค่อยพังครับ) ผมว่าจริงๆ ถ้าจะให้สะใจพี่ขามน่าจะพังบ้านสจ. ตัวร้ายนี่ให้ทรุดแทนที่จะลากแกไปแล่นเรือ จนทำให้บ้านชาวบ้านชายน้ำล่มจมนะครับ แบบนั้นถึงพังหรือระเบิดมันก็สะใจกว่า

เอาเป็นว่าดูเพลินๆ ครับ