ค้นหาหนัง

Transformers: The Last Knight | อัศวินรุ่นสุดท้าย

Transformers: The Last Knight | อัศวินรุ่นสุดท้าย
เรื่องย่อ : Transformers: The Last Knight | อัศวินรุ่นสุดท้าย

กำเนิดวีรบุรุษใหม่ เมื่อออพติมัสจากไปแล้ว สงครามระหว่างออโต้บอทและดิเซปติคอนส์ยังมีอยู่ การปกป้องสำหรับอนาคตอาจจะขึ้นอยู่กับความลับในอดีตที่ต้องหาให้เจอ โดยมีมนุษย์อย่าง เคด เยเกอร์ (รับบทโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์ก)และ บัมเบิ้ลบี คอยสู้อยู่เคียงข้าง

IMDB : tt3371366

คะแนน : 1



นับไปนับมาเราก็อยู่กับหนัง Transformers มา 10 ปีพอดีในปีนี้ ตั้งแต่ปี 2007 ที่พ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ยังชักใยความมันส์อยู่หลังไมเคิล เบย์อีกที ซึ่งทำให้หนังภาคแรกมีส่วนผสมที่ลงตัวทั้งไซไฟ จินตนาการแบบหนังสปีลเบิร์ก โดยมีฉากหุ่นยักษ์ไอรอนไฮด์ขึ้นจากสระน้ำแล้วเดินผ่านเด็กสาวตัวน้อยดูอบอุ่นหัวใจผสมผสานกับความยียวนของเหล่าตัวละครสมทบและฉากแอ็คชั่นตื่นตาตื่นใจสไตล์ไมเคิล เบย์ จนทำให้ Transformers (2007) กลายเป็นหนังไซไฟที่ถูกใจคอหนังทันทีที่มันออกฉาย แต่ต่อมาด้วยจำนวนภาคที่มากขึ้นสวนทางกับความสมเหตุสมผลของบทหนังก็ทำให้มันกลายเป็นงานขายเอฟเฟกต์ดาษดื่น ที่ต้องมีฉากโชว์แปลงร่าง หรือ ระเบิดตูมตามทุก 5 นาทีจนมนต์ขลังของหนังภาคแรกหายไปอย่างน่าเสียดาย

สำหรับภาคล่าสุด Transformers The Last Knight (2017) ที่เป็นทั้งงานฉลองครบรอบ 10 ปีของหนังชุดทรานส์ฟอร์เมอร์สและงานอำลาการกำกับหนังชุดนี้ของไมเคิล เบย์ คงหนีไม่พ้นจุดน่าสนใจในการส่งไม้ต่อให้สตูดิโอนำไปขยายจักรวาลให้หนังชุดนี้ยังมีลมหายใจต่อไป โดยบทหนังเปิดประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นมาสมัยอัศวินโต๊ะกลมกับการเดินทางมาครั้งแรกๆ ของเหล่าจักรกลต่างดาวที่เข้ามาช่วยเขียนหน้าประวัติศาสตร์ให้มนุษยชาติ

แต่หนังกลับนำเสนอเรื่องราวตรงนี้ในช่วงต้นได้อย่างน่าเบื่อหน่ายราวกับมีไว้โชว์ฉากระเบิดและมุกฝืดๆ ตอนต้นเรื่อง มิหนำซ้ำมันกลับติดตามมาด้วยมหกรรมจับแพะชนแกะทั้งเปิดเรื่องมนุษย์ไม่ไว้ใจหุ่นยนต์แบบไม่มีที่มาที่ไป หรือการที่เคดไปเก็บเด็กสาวเร่ร่อนมาเลี้ยงแบบแทบจะไม่ได้มีผลกับเรื่องราว และหนังก็ใช้เวลาตลอดองก์หนึ่งตัดสลับเรื่องราวระหว่าง ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกบุญธรรมระหว่างเคดและอิซาเบลลา-การตามหาความจริงเรื่องวัตถุประหลาดบนโลกของเซอร์เอ็ดมอนด์-การค้นพบภัยพิบัติของนาซ่าและการถูกครอบงำของออพติมัสไพร์มแบบกระจัดกระจายจนน่าสับสนและกว่าเรื่องราวจะขมวดปมเข้าหากันก็เลยไปจนช่วงท้ายองก์สอง

แถมบางปมปัญหาหนังก็ทิ้งมันไปดื้ออย่างไม่แคร์เพื่อยัดเยียดฉากแอ็คชั่นโครมครามสุดน่าเบื่อให้ปรากฎอยู่รายทาง ทั้งหมดทั้งมวลยิ่งตอกย้ำแผลเป็นด้านบทหนังที่น่าจะผ่านการเสริมเติมต่อเพื่อมุ่งสู่การขยายจักรวาลจนทิ้งตรรกะและความสมเหตุสมผลของเรื่องราวจนได้หนังที่ทั้งจะเป็นคิงอาเธอร์ เป็นสตาร์วอร์ สตาร์เทรค แต่ล้มเหลวในการเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์สอย่างที่ควรจะเป็นไปอย่างน่าเสียดาย

อีกแผลเหวอะหวะใหญ่ๆคือการกำกับการแสดงของไมเคิล เบย์ ที่นอกจากการกำกับฉากบู๊ได้อลหม่านและเอะอะมะเทิ่งแล้ว เขายังสามารถฉุดนักแสดงมีฝีมือทั้ง มาร์ค วาห์ลเบิร์ก และ แอนโธนี ฮอปกินส์ มาเสียเวลากับบทสนทนาไร้สาระและยืดยาว แบบไม่ต้องใช้นักแสดงระดับนี้ก็ได้ แต่….ที่ต้องชื่นชม เบย์ และทีมแคสติ้งคือการแนะนำนักแสดงสาวทรงสเน่ห์สองวัย คนแรก คือ ลอรา แฮดดอก สาวอังกฤษหน้าตาเย้ายวนจากซีรีส์ Da Vinci’s Demons ที่รับบทศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมอังกฤษได้อย่างมีเสน่ห์แม้บทจะไม่ได้โชว์สติปัญญาของตัวละครนักก็ตาม แต่ด้วยริมฝีปากอวบอิ่มและตากลมโตพร้อมหุ่นและสำเนียงอังกฤษสุดเซ็กซี่ก็เพียงพอให้หนุ่มๆ รักเธอได้ไม่ยาก และอีกหนึ่งสาวน้อยอย่าง อิสาเบลา โมเนอร์ สาวสวยวัย 16 ที่มีผิวแทนสวยก็มารับบทเด็กกำพร้าสุดห้าวและมีฉากโชว์ร้องให้โหยหาความรักความเมตตาได้อย่างน่า “เห็นใจ” จนลุงๆที่นั่งหน้าจออยากขอมาอุปการะแทนนายเคด เยเกอร์ เสียเอง