ค้นหาหนัง

We Own the Night

We Own the Night
เรื่องย่อ : We Own the Night

บ๊อบบี้ กรีน (วาคีน ฟีนิกซ์) ไม่ยอมเดินทางแนวเดียวกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวที่เจริญรอยตามกันมาหลายชั่วอายุคน เขามุ่งมั่นจัดการร้าน El Caribe ไนท์คลับสัญชาติรัสเซีย ที่เปิดกิจการทำมาค้าขึ้นจนเป็นตำนานหน้าสำคัญของย่านไบรท์ตัน บีช ในบรู้คลิน เขาตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุล และปกปิดสายสัมพันธ์ที่จะโยงเข้าไปจนถึงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แห่งมหานครนิวยอร์ก ชื่อดังเสียจนหมดสิ้น

IMDB : tt0498399

คะแนน : 9



แม้ชื่อผู้กำกับ James Gray อาจไม่เป็นที่คุ้นหูนัก

แต่การที่ผลงานแทบทุกเรื่องของเขาได้เข้าชิง รางวัล Golden Palm จาก Cannes Film Festival อยู่เสมอ (ซึ่งรวมถึงเรื่องนี้ด้วย) ก็ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่น่าสนใจ
ด้วย พล็อตเรื่อง ประมาณว่า
พี่กับน้องที่เหมือนอยู่คนละฟากของกฎหมายจำต้องร่วมมือกันเพื่อสะสางปัญหาที่กำลังคุกคามครอบครัวของพวกเขา
อาจจะเป็นพล็อตที่เคยเห็นกันมาบ้างแล้วแต่พล็อตแบบนี้นี่แหละ มันเป็นความขัดแย้งที่เรียกร้องความน่าสนใจได้ในตัวเอง
We own the night เล่าเรื่องราวของพี่น้อง คู่หนึ่ง


ซึ่ง Bobby พี่ชาย (Joaquin Phoenix) เลือกที่จะทำงาน เป็นผู้จัดการ Night Club ให้กับ Marat Buzhayev (Moni Moshonov) ชายแก่ชาวรัสเซีย ที่ Bobby นับถือเหมือนเป็นพ่ออีกคน


ในขณะที่ Joe น้องชาย (Mark Wahlberg) เลือกที่จะเป็นตำรวจ เพื่อเจริญรอยตามพ่อของเขา Bert (Robert Duvall)

โดยเรื่องราวเริ่มขึ้น เมื่อ Joe ที่กำลังตามคดีลักลอบขนยาเสพย์ติดข้ามชาติของ Vadim (Alex Veadov) ซึ่งเป็นหลานชายของ Buzhayev


Joe ได้ขอร้องให้ Bobby ช่วยเป็นสายให้


ในขณะเดียวกัน Bobby ก็ได้รับการทาบทามจาก Vadim ให้มาทำงานกับเขา


เรื่องราวต่อจากนี้ แม้จะมี จุดพลิกผัน จุดหักเห เล็กๆน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้เกินคาดเดา
Joaquin Phoenix มอบการแสดงที่ดีในบท Bobby ที่แม้ในตอนแรกต้องลำบากใจกับตัดสินใจเลือกข้าง แต่เมื่อสายเลือดเดียวกันถูกทำร้าย เขาก็ตัดสินใจได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด แม้จะต้องรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเอง รวมถึงเกิดขึ้นกับ Amada แฟนสาวของเขา (Eva Mendes กับบทที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมากนัก)


Mark Wahlberg ดูน่าเชื่อถือในบท ตำรวจที่เอาจริงเอาจังกับงาน คงเป็นเพราะเขาต้องการพิสูจน์ตัวเองกับพ่อ

เช่นเดียวกับ Robert Duvall ในบทคุณพ่อตำรวจ ที่คิดถึง เรื่องความปลอดภัยของลูกชายทั้งสอง ก่อนเรื่องงานเสมอ

ในขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็เล่นได้ดีตามบทบาทที่ตัวเองได้รับ
ในความเป็น หนังอาชญากรรม หนังทำได้ถึงและเล่าเรื่องได้น่าติดตาม

ฉากแอ๊คชั่นต่างๆทำได้สมจริง และดูเป็นไปได้


ส่วนฉากที่น่าจดจำที่สุดคงเป็นฉากไล่ล่า ทางรถยนต์ ในบรรยากาศฝนตก ที่เน้นโทนสีหม่นๆ น้ำเงินอมเทา ที่มีทั้งความระทึก และขายสไตล์ไปพร้อมๆกัน


ในขณะที่ช่วงหลังๆหนังดูจะแผ่วๆลงไป และการค้นพบเบาะแสที่สาวถึงผู้บงการตัวจริง ออกจะเป็นสูตรสำเร็จไปนิดหนึ่ง

 

และเมื่อฉากสุดท้ายมาถึง หนังก็เน้นย้ำความสัมพันธ์ของคนสายเลือดเดียวกันอีกครั้ง
การทำความรู้จักกับ James Gray เป็นครั้งแรกของผมในครั้งนี้ อาจไม่ประทับใจมากนัก

 

ส่วนตัวคาดหวังว่า
หนังน่าจะมีอะไรที่ฉีกออกไปจากหนังแนวๆนี้ เรื่องอื่นๆ หรือมีลักษณะบางอย่างที่โดดเด่น

 

แต่ถึงแม้จะไม่มีอะไรที่ฉีกออกไปมากมายนัก

ก็ต้องยอมรับว่า We Own the Night เป็นหนังดี ที่ดูสนุกอีกเรื่องหนึ่ง


คิดว่าสิ่งที่หนังต้องการบอกกล่าวคงไม่หนีไปจาก หนังอาชญากรรมแนวเดียวกันนัก

แต่สิ่งที่เรื่องนี้เน้นย้ำเป็นพิเศษ ก็คือ คุณค่า และ สายสัมพันธ์ของครอบครัว (ที่จะว่าไป ก็ดูจะอุดมคตินิดๆ)
อย่างที่หนังแสดงให้เห็นว่า

 

ไม่ว่าจะเพื่อนสนิท ที่ไว้ใจกันมากแค่ไหน หรือ คนที่เรานับถือเหมือนกับพ่ออีกคน
ยังสามารถทำร้ายเราได้

แต่คนสายเลือดเดียวกันยังไงก็ไม่มีทางที่จะทำร้ายกัน

 

 

ยังไงซะ “เลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ”